เสียงจักจั่นในป่าสน
นวนิยายขนาดสั้นรองชนะเลิศอันดับสอง รางวัลนักเขียนรุ่นเยาว์ เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 11 ประจำปี 2557
<<สารบัญ>>
บทแรก
บทที่สอง
บทที่สาม
บทที่สี่
บทที่ห้า
บทที่หก
บทที่เจ็ด
บทที่แปด
บทส่งท้าย
นวนิยายขนาดสั้นรองชนะเลิศอันดับสอง รางวัลนักเขียนรุ่นเยาว์ เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 11 ประจำปี 2557
<<สารบัญ>>
บทแรก
บทที่สอง
บทที่สาม
บทที่สี่
บทที่ห้า
บทที่หก
บทที่เจ็ด
บทที่แปด
บทส่งท้าย
1
เรื่องราวในไบเบิ้ลกล่าวถึงการกำเนิดของพระเยซู ศาสดาของศาสนาคริสต์ไว้ว่า พระนางมารีย์ หญิงพรหมจรรย์กำลังจะแต่งงานกับโยเซฟ แต่จู่ๆ นางเกิดตั้งท้องขึ้น โดยมีทูตสวรรค์มาบอกกับนางว่า บุตรที่กำลังมาในท้องนางนั้นคือบุตรของพระเจ้า
ฝ่ายโยเซฟคู่หมั้นของมารีย์ ตอนแรกก็มีความกังวลใจที่คู่หมั้นตั้งท้องลูกที่ไม่ใช่ของตน ตอนแรกจึงคิดจะเลิกรากับมารีย์ แต่ทูตสวรรค์ก็มาบอกโยเซฟว่า เด็กในครรภ์นั้นเป็นเด็กศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก โยเซฟจึงรับพระนางมารีย์เป็นภรรยา
รดิศเรียนจบจากโรงเรียนชายล้วนที่มีรูปปั้นนักบุญโยเซฟอยู่หน้าตึกเรียน เขาเคยถูกบอกเล่าเรื่องราวการกำเนิดของพระเยซูมาจากในคาบเรียน และจากนั้นเรื่องนี้ก็ติดอยู่ในใจเขา เกิดเป็นคำถามที่ว่า ถ้าหากไม่มีเทวทูตมาบอกว่าพระแม่มารีย์ตั้งท้องบุตรของพระเจ้า โยเซฟจะยังแต่งงานกับพระแม่มารีย์หรือไม่
สำหรับรดิศแล้ว หากจู่ๆ ผู้หญิงที่สัญญาว่าจะแต่งงานกันเกิดตั้งท้องขึ้นมา โดยที่ไม่ใช่ลูกของตน เขาแน่ใจว่าเขาคงไม่แต่งงานกับเธอ มันเป็นการทรยศ เด็กหนุ่มคิดทุกครั้งที่เดินผ่านรูปปั้นนักบุญโยเซฟในโรงเรียน ถ้าเป็นเขาจะต้องรับไม่ได้แน่ๆ เขาไม่สามารถเลี้ยงเด็กที่ไม่ใช่ลูกของตัวเองได้ รดิศคิดว่าต่อให้เป็นนักบุญโยเซฟ แต่ถ้าหากพระเจ้าไม่ส่งสารมาบอก ก็คงจะเลือกทางเดียวกับเขา
เขาเคยคุยเล่นกับเพื่อนสนิทในเรื่องนี้ แต่กลับได้รับคำตอบที่ไม่คาดคิดว่าจะออกจากปากเด็กผู้ชายวัยสิบเจ็ด เพื่อนคนนั้นตอบว่า “บางที...ต่อให้ไม่รู้ความจริงเรื่องบุตรชายของพระเจ้า บางที...โยเซฟอาจจะยังแต่งงาน เพื่อจะได้ปกป้องดูแลมารีย์ก็ได้นะ”
“แกเชื่อว่านักบุญจะต้องเป็นคนดีเหรอวะ” รดิศถามเพื่อนคนนั้น แล้วอีกฝ่ายก็ส่ายหน้าและตอบว่า
“ไม่ใช่เพราะเขาเป็นนักบุญ ไม่ใช่เพราะนักบุญจะโอบอ้อมกว่าคนธรรมดา แต่ถ้าหากว่า...ถ้าหากว่าโยเซฟรักมารีย์มากพอ เขาต้องยังแต่งงานกับเธอแน่ๆ”
แม้ว่าวันนั้นเขาจะหัวเราะเยาะเพื่อน และหาว่าเพื่อนพูดจาอ่อนไหวไร้สาระ แต่คำตอบของเพื่อนในวันนั้น ก็ยังติดอยู่ในสมองของรดิศไม่เคยจากไปไหน และนำไปสู่คำถามใหม่อีกคำถามหนึ่ง
มันจะมีจริงหรือ ความรักที่มีพลังขนาดนั้น
###
รดิศไม่เคยคิดออกตามหาคำตอบของคำถามเรื่องความรัก เพราะเท่าที่เห็นมา เพื่อนๆ แต่ละคนที่มีความรักต่างก็มีอาการประหลาดๆ ที่ทำให้การดำเนินชีวิตประจำวันวุ่นวาย เมื่อเห็นตัวอย่างแบบนั้นแล้ว เขาก็ไม่นึกอยากจะหาเหามาใส่หัว จึงตั้งใจจะใช้ชีวิตโดยไม่สนใจเรื่องความรัก และไม่สนใจจะหาคำตอบของคำถามที่แวบเข้ามาแต่ไม่เคยแวบผ่านไปข้อนั้นเลย
เวลาล่วงเลยผ่าน เขาเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยรูปปั้นบุคคลในประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัย รูปปั้นครูอาจารย์เหล่านั้นตั้งตระหง่านหน้าอาคารอิฐสีแดง รดิศคิดในใจว่า ที่นี่ไม่มีรูปปั้นพระเยซูอยู่หน้าตึกเรียนอีกต่อไป และต่อจากนี้เวลาเขาเดินผ่านหน้าตึกเรียน เขาก็จะไม่ต้องคิดถึงคำถามน่าปวดหัวเหล่านั้นอีก
แต่อนิจจา เมื่อเขาเดินผ่านอาจารย์ป๋วย อาจารย์สัญญา หรืออาจารย์ปรีดีในตึกไกลออกไป เขาก็จะนึกขึ้นได้ถึงนักบุญโยเซฟ และคำถามเรื่องความรักข้อนั้นทุกครั้ง ดูเหมือนว่าเขาคงไม่สามารถสลัดข้อสงสัยนี้ทิ้งไปได้โดยง่าย รดิศนึกอย่างขำๆ ตัวเอง ขณะที่เขายืนมองรูปปั้นอาจารย์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในยามเย็นท้องฟ้าสีชมพูวันหนึ่ง
นกตัวหนึ่งโผจากศีรษะของอาจารย์ป๋วยบินลับไปทางหลังอาคารเรียนรวมสังคมศาสตร์ ท้องฟ้ามืดลงทุกขณะ มันค่อยๆ เปลี่ยนจากสีชมพูเป็นสีม่วง เสียงซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ดังมาจากส่วนไหนสักส่วนในอาคาร เป็นภาพที่เห็นซ้ำๆ ในช่วงนี้ของทุกปี เหตุการณ์วนเวียนเช่นเดิมปีแล้วปีเล่า เริ่มต้นปีการศึกษา รับน้อง ซ้อมร้องเพลง เลิกรับน้อง สอบกลางภาค สอบปลายภาค มันเป็นเช่นนี้เสมอปีแล้วปีเล่า
ปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้วที่รดิศจะศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เหตุการณ์ที่วนซ้ำมาเป็นครั้งที่สี่ทำให้เขาออกจะแน่ใจว่า มันคงวนซ้ำอย่างนี้ตลอดไป
หลายคนเคยตั้งคำถาม ถ้ารูปปั้นอาจารย์ป๋วย รูปปั้นอาจารย์ปรีดี หรือรูปปั้นต่างๆ เหล่านี้พูดได้ พวกท่านทั้งหลายจะพูดอะไรกับสภาพปัจจุบันของนักศึกษาธรรมศาสตร์ แต่รดิศไม่เคยสงสัยว่าพวกท่านจะพูดอะไร คนที่เขาอยากจะให้พูดได้เพื่อจะลองถามไถ่ กลับเป็นนักบุญโยเซฟมากกว่า
“รูปปั้นไม่มีทางพูดได้” รดิพึมพำกับตัวเองเบาๆ ขณะเดินผ่านด้านข้างของอาจารย์ป๋วย นกอีกฝูงหนึ่งบินผ่านไปทางด้านหลังตึก ท้องฟ้ามืดลงทุกขณะ ชายหนุ่มเปลี่ยนมือที่ถือหนังสือซึ่งเพิ่งยืมมาจากห้องสมุด ก้าวเท้าเข้าไปในอาคารด้านหลังรูปปั้นสีดำนั้น
ทางเข้าอาคารยามนี้เปิดไฟสว่าง มีโต๊ะเรียงรายกันเป็นแถว เว้นตรงกลางไว้เป็นทางให้คนเดิน ปกติเวลากลางวันที่ตรงนี้จะมีคนมากมายพลุกพล่าน แต่ในเวลานี้ไม่มีคนสัญจรไปมาแล้ว เสียงนับจังหวะของเชียร์ลีดเดอร์ยังคงแว่วให้ได้ยินอยู่ไม่ห่าง รดิศเดินหน้าเรื่อยๆ ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ แล้วเขาก็เห็นร่างหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะริมสุดติดกับทางเดินที่เขากำลังเดินอยู่ เป็นร่างหญิงสาวในชุดนักศึกษา นั่งหันออกมาทางเขา ก้มหน้าฟุบลงกับโต๊ะ รดิศชะงัก มองเธอ หญิงสาวได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แวบหนึ่ง รดิศคิดเรื่องสิ่งลี้ลับ แต่ต่อมาความคิดนั้นก็สลายหายไป เมื่อเห็นใบหน้าของเธอคนนั้น
เธอกำลังร้องไห้
เธอมองมาที่เขาเหมือนไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ราวกับเพียงแค่เงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเสียงฝีเท้านั้นมีตัวตนจริงหรือเปล่า ใบหน้าของเธอเปรอะด้วยคราบน้ำตา และดวงตาก็ช้ำแดง น่าแปลกที่เธอไม่มีอาการเหมือนจะซ่อนหลบ ไม่มีความอับอายที่คนอื่นมาเห็นตนในยามกำลังร่ำไห้ เธอทำท่าราวกับว่าการร้องไห้เป็นอาการธรรมดาของมนุษย์ และจ้องมองมาที่เขาตรงๆ ราวกับกำลังรอให้เขาเดินผ่านไปเสียที
รดิศรู้ตัวว่าควรเดินจากไปเสีย และทิ้งเธอให้อยู่คนเดียว ในเวลาอย่างนี้ ไม่มีใครต้องการให้คนแปลกหน้าเข้าไปยุ่ง
ท้องฟ้าส่งเสียงครืนลั่นเพียงครั้งเดียว ก่อนฝนจะเทพรวดลงมาจากฟ้าโครมใหญ่ชนิดที่คนรัสเซียเขาเรียกกันว่า เหมือนเทลงมาจากถัง ครั้งแรกที่รดิศได้ยินสำนวนนี้ เขาก็อดคิดไม่ได้ว่า มันช่างเป็นสำนวนที่เหมาะสมกับสภาพอากาศทุ่งรังสิตจริงๆ พับผ่า ฝนที่นี่ชอบตกไม่มีปี่มีขลุ่ย อยู่ๆ นึกจะเอาก็เทพรวดกันลงมา แถมยังหนักเหมือนบนฟ้ามีถังใบโตๆ อยู่จริงๆ อย่างนั้นแหละ
รดิศหันหลังกลับไปมองนอกอาคาร ทัศนียภาพพร่าเลือนไปในสายฝน ฐานรูปปั้นของอาจารย์ป๋วยบิดเบี้ยวในเส้นตรงที่กระหน่ำลงมา ถ้าตัวรูปปั้นรู้สึกอะไรได้ ก็อาจจะรู้สึกหนาวเหน็บเดียวดายก็ได้ ที่ต้องยืนคนเดียวในคืนที่สายฝนฉ่ำหนักขนาดนี้ แต่รดิศและหญิงสาวไม่มีใครคิดสงสารอาจารย์ป๋วยหรือแม้แต่จะคิดถึง เพราะชายหนุ่มอุทานออกมาดังลั่นว่า “ฉิบหาย ผ้ากู” และเพียงเท่านั้นหญิงสาวที่กำลังร้องไห้ก็หัวเราะพรวดออกมา
รดิศหันไปมองเธอ ไม่แน่ใจว่าเธอหัวเราะเขางั้นหรือ ทั้งที่กำลังร้องไห้อยู่น่ะหรือ ชายหนุ่มยังไม่แน่ใจอยู่ตอนที่เห็นเธอยกมือเช็ดจมูก หัวเราะต่อไปเบาๆ และพูดว่า “ดีนะที่เราเก็บของเราแล้ว”
รดิศขยี้หัวตัวเองอย่างเศร้าๆ ไว้อาลัยผ้าที่เพิ่งซักเมื่อเช้านี้ก่อนมาเรียน ฝนทำเอาซวยทุกทีเลยสิน่า เขามองหน้าเธอและยิ้มเก้อๆ จะเดินกลับหอต่อไปก็คงทำไม่ได้แล้ว เพราะฝนลงหนักเหมือนอยากจะแกล้ง แถมเขายังมีหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุด เขาคงต้องติดฝนอยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง รอให้มันซากว่านี้สักนิด ชายหนุ่มหันรีหันขวางคิดว่าจะไปนั่งรอที่ไหนดี ก่อนจะหันมายิ้มเก้อๆ ให้หญิงสาวอีกทีหนึ่ง และเดินผ่านไปหาเก้าอี้ที่ส่วนอื่นของอาคาร
สิบนาทีต่อมา รดิศเดินกลับมาที่เดิม วันนี้ทุกส่วนของอาคารที่มีเก้าอี้ มีคนซ้อมเชียร์ลีดเดอร์อยู่ เป็นบรรยากาศที่เขาไม่อาจเข้าไปนั่งหลบฝนด้วยได้ มีแต่เก้าอี้ตรงนี้ที่เขาเรียกกันว่า “โถงเอสซี” นี่แหละที่ไม่มีผู้นำเชียร์กลุ่มใดมาจับจอง
เขาเดินกลับมาและรู้สึกว่าหญิงสาวคนเดิมกำลังมองมาที่เขา เธอไม่ได้กำลังร้องไห้อีกแล้ว และในบริเวณนั้นก็มีคนตัวเปียกวิ่งเข้ามาหลบฝนมานั่งเพิ่มอีกสองสามคน
รดิศเลือกโต๊ะตัวหนึ่งที่ห่างไกลเธอพอสมควร นั่งลงและเริ่มเพ่งสายตาอ่านหนังสือที่ยืมมา บริเวณนี้แม้จะมีไฟสว่างแต่รอบข้างก็มืดสนิทจนอ่านหนังสือได้ลำบากพอดู อันที่จริงเขาเองก็ไม่ได้อยากอ่านหนังสือที่ว่านั่นตอนนี้ แต่เมื่อละสายตาจากหนังสือกี่ที ก็จะเผลอเงยหน้าไปมองเธอเสมอ และสาวเจ้าก็เหมือนจะรู้ตัว มองกลับมาทุกทีราวกับจะถามว่า “มีอะไร” รดิศคิดว่าถ้าเขามองบ่อยๆ แบบนี้เห็นทีจะเสียมารยาท จึงบังคับก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเล่มนั้นต่อไปเรื่อยๆ แต่เขาก็มักเงยหน้าขึ้นไปสบตากับเธอเข้าจนได้ทุกๆ สิบนาทีหรือน้อยกว่านั้น
ฝนยังคงสาดเทตกหนักอย่างต่อเนื่อง ไม่มีวี่แววจะสิ้นสุดลงง่ายๆ มืดเกินไปที่จะอ่านหนังสือที่เก่ากรอบจนเป็นสีน้ำตาลพวกนั้น รดิศปิดหนังสือ ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูนาฬิกา ดึกกว่าที่เขาต้องการอยู่ข้างนอกแล้ว แต่ก็ยังกลับไม่ได้ เขาเบื่อและหงุดหงิดขึ้นมาเสียเฉยๆ เบื่อฝนตก เขาคิดพลางเคาะสันหนังสือกับโต๊ะเล่น เงยหน้าขึ้นมองเธอ...
แต่ร่างนั้นกลับหายไปเสียแล้ว ที่เก้าอี้ตัวนั้นไม่มีเธออีกต่อไป รดิศเหลียวมองรอบตัวเหมือนตื่นๆ ความจริงเขาจะตกใจทำไมกับแค่ว่าเธอหายไป เธอเป็นเพียงคนไม่รู้จักที่ผ่านมาและผ่านไปในชีวิตเขา หากคืนนี้เขาเมา พรุ่งนี้เช้าเขาก็จะลืม
แต่ในตอนนั้นเขากลับแปลกใจที่เธอหายไป แปลกใจจนเหมือนใจหาย อาจเป็นเพราะเขาเห็นเธอกำลังร้องไห้หัวใจสลาย พอเธอหายไป เลยเกิดคิดว่าเธอจะเป็นอะไรขึ้นมา
รดิศเหลียวไปถึงทางออกสู่ลานโล่ง ด้านหลังรูปปั้นอาจารย์ป๋วย เขาเห็นเธอยืนอยู่ที่นั่น รูปร่างบอบบาง ยื่นแขนออกไปข้างนอกเหมือนกำลังชั่งใจ ฝนยังคงตกใหญ่ สาดซัดเข้ามาจนพื้นในอาคารส่วนทางเข้าเปียกเข้ามาเกือบสองเมตร มันสาดเธอจนเปียกไปหมดทั้งตัว กระโปรงพลีทยาวสีดำถูกลมตีจนพัดกระพือ แต่ไม่กี่อึดใจต่อมาก็เปียกจนปลิวไม่ขึ้น ลู่ติดผิว
หญิงสาวยื่นมือรับเม็ดฝน ก่อนจะตัดสินใจเดินออกไป
อย่าไป
บางอย่างในใจรดิศร้องออกมา แต่เขาไม่ได้ออกอากัปกิริยาใดๆ ภายนอก ชายหนุ่มมองเธอเดินออกไป เรือนร่างผอมบางนั่นต้านกับสายฝน ถูกเส้นฝนสีเงินกระหน่ำเข้าใส่เหมือนเข็มที่ร่วงลงจากฟ้า แทงลงบนร่างเธอครั้งแล้วครั้งเล่า รดิศมองภาพนั้นที่พร่าเลือนเพราะม่านฝน หัวใจของเขาหวิวไหว เห็นเธอเคลื่อนไกลออกไป ไกลออกไป เสื้อนักศึกษาสีขาวมองเห็นห่างไปทุกทีจนลับตา
ชายหนุ่มรู้สึกในใจว่างโหวง และฉับพลับความเบื่อผสมหงุดหงิดที่ติดฝนก็ย้อนกลับมา เขาสบถออกมาดังลั่น ลุกขึ้นเดินไปที่ข้างบันไดขึ้นชั้นสองอันเป็นที่ตั้งของโต๊ะยาม ยามผู้หญิงในชุดเครื่องแบบสีกรมท่านั่งอยู่ที่นั่น รดิศถามว่ามีถุงพลาสติกไหม และยามก็คุ้ยใต้โต๊ะได้ถุงพลาสติกของร้านสะดวกซื้อให้เขาใบหนึ่ง
ชายหนุ่มเอ่ยขอบคุณ เอาถุงใบนั้นห่อหนังสือให้แน่น และก้าวฉับๆ ผ่านตัวตึกไปยังทางเดินทอดยาวมุงหลังคา และก้าวเร็วๆ ผ่านเส้นทางทั้งหมดนั่นจนมาถึงขอบฟุตบาทริมถนน เขาต้องข้ามถนนเส้นนี้ไป และเดินออกจากมหาลัยไปอีกไกลจนกว่าจะถึงหอพักที่ตั้งอยู่ข้างนอก
หอพักอยู่ตั้งไกล ฝนตกขนาดนี้ถ้าลุยผ่านไปคงเปียกโชก แต่หนังสือน่าจะปลอดภัยแล้ว ตอนแรกรดิศไม่อยากลุยฝ่าฝน ไม่อยากเปียก ไม่อยากเสี่ยงเป็นไข้ไปเพราะทำตัวห่ามๆ อย่างนี้ แต่ตอนนี้เขาโกรธ เขาหงุดหงิด ในหัวใจของเขามีเสี้ยนแปลกๆ ยอกอยู่ เขาต้องการประชดชีวิตกับสายฝน
ชายหนุ่มก้าวออกไป สายฝนกระหน่ำทิ่มแทงลงมาจากทุกด้าน เขาเจ็บไปทั้งร่าง อยากจะย้อนคืนกลับ แต่ก็เปียกไปทั้งตัวแล้ว หากไม่เดินต่อไปเบื้องหน้า การลงทุนจะเสียเปล่า เขาเดินฝ่าสายฝนที่ตีเข้ามา เจ็บ เจ็บ ฝนแรงจนโงหัวไม่ขึ้น ต้องก้มหัวยกแขนขึ้นบังหน้า กระนั้นสายฝนก็ยังฝ่าเข้ามาปะทะพวงแก้ม
เธอคนนั้นก็คงเจ็บเหมือนกันนี้ เธอก็คงเหมือนเขา เสียใจจากอะไรบางอย่างและอยากตากฝนประชดมัน เธอจะเสียใจด้วยเรื่องอะไรนั้น เขาไม่รู้ ตัวเขาเองหงุดหงิดโมโหด้วยเรื่องอะไร เขาก็ปฏิเสธที่จะรู้
รดิศก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ สายฝนสาดโครมลงมา
ตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว เขาเกลียดที่จะต้องได้เห็นผู้หญิงร้องไห้