เสียงจักจั่นในป่าสน
นวนิยายขนาดสั้นรองชนะเลิศอันดับสอง รางวัลนักเขียนรุ่นเยาว์ เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 11 ประจำปี 2557
สารบัญและบทก่อนหน้านี้
นวนิยายขนาดสั้นรองชนะเลิศอันดับสอง รางวัลนักเขียนรุ่นเยาว์ เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 11 ประจำปี 2557
สารบัญและบทก่อนหน้านี้
3
วันพุธต่อมา รดิศโผล่หน้าไปที่ห้องเรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสนทนาระดับสาม มันเป็นคาบที่สองแล้วของการเปิดเทอม แต่ศุกร์ก่อนเขาโดดคาบแรกของวิชานี้ เพราะไข้ของเขาไม่ลดลงเลย กว่าจะลดก็บ่ายคล้อย รดิศต้องนอนอยู่บนเตียงจนขาดเรียน และพอเริ่มเย็นก็กลับบ้านซื้อข้าวขาหมูไปให้พ่อ
เขาเดินหมุนซ้ายหมุนขวาหาที่นั่งที่น่าจะยังไม่ถูกจับจอง วิชานี้รับคนครั้งละยี่สิบคน ห้องเรียนจะจัดเก้าอี้เป็นรูปเกือกม้า เพื่อการสะดวกในการเรียน “สนทนา”
สำหรับคลาสเรียนกลุ่มเล็กๆ มันคล้ายมีกฎที่มองไม่เห็นเขียนอยู่ว่า หากใครนั่งที่ไหนก็จะนั่งที่นั้นไปจนหมดเทอม เมื่อที่นั่งถูกล็อคตามตำแหน่งการหย่อนก้นลงในคาบแรกแล้ว รดิศจึงไม่แน่ใจว่าจะนั่งลงที่ไหนดี ที่ที่เขานั่งจะไปทับที่คนอื่นเอารึเปล่า
“นั่งข้างเราก็ได้ ข้างเราว่าง” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาข้างหลังเขา ผู้มาใหม่เดินเข้ามาในห้อง ผ่านร่างเขาและนั่งลงที่เก้าอี้ตัวริมซ้ายสุดของเกือกม้า ยกมือตบที่เก้าอี้เลคเชอร์ตัวข้างๆ เบาๆ และมองหน้าเขาอย่างจดจำได้ “คาบก่อนไม่มาใช่มั้ย ข้างเราว่าง นั่งสิคะ ซื้อหนังสือรึยัง”
“ซื้อแล้ว” รดิศยกหนังสือให้ดูก่อนจะนั่งลงเก้ๆ กังๆ เขาไม่คิดว่าจะเจอเธออีก
“มาเรียนคนเดียวรึเปล่าคะ” เธอหันมาถามเขา และยิ้ม เธอกำลังพยายามทำตัวให้เป็นธรรมชาติ ไม่แสดงท่าอะไรให้ดูกระอักกระอ่วนแม้ทั้งสองฝ่ายจะเคยพบกันในสถานการณ์แปลกๆ มาก่อนก็ตาม อันที่จริงเธอจะทำตัวเหมือนไม่เคยพบเขาเลยก็ได้ แต่ถ้าอย่างนั้นรดิศคงอึดอัดใจ เขาจึงอดดีใจไม่ได้ที่เธอทำทีเหมือนรู้จักเขามาก่อนแล้ว
อันที่จริงก็ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่รดิศเองก็รู้สึกคล้ายรู้จักอยู่เหมือนกัน “มาคนเดียวครับ” เขาตอบ เพื่อนๆ ของเขาบอกลาไประหว่างวิชาสนทนาภาษาอังกฤษระดับสอง และไม่คิดจะสนทนาอะไรที่ยากไปกว่านี้
“งั้นเวลางานคู่เราคงต้องคู่กันแล้วล่ะค่ะ เพราะเราก็มาคนเดียว” เธอบอก “อยู่ปีอะไรคะ”
“ปีสี่” รดิศตอบ
“อ่าว งั้นหนูปีสาม เรียกพี่นะ” เธอพูด ท่าทางสบายใจขึ้น เปลี่ยนสรรพนามเสียน่าเอ็นดูทั้งที่ไม่ได้ห่างกันเท่าไร
“ชื่ออะไรเหรอ” รดิศถาม
“ชื่อณิค่ะ พี่ล่ะคะ”
“รดิศ” เขาตอบและก็ยิ้มออกมา แล้วอาจารย์ก็เดินเข้ามาในคลาส การเรียนการสอนเริ่มต้นขึ้น
###
ตั้งแต่นั้นรดิศจะได้พบณิชาในคาบเรียนทุกวันพุธและศุกร์ เขาต้องทำงานบางชิ้นร่วมกันกับเธอเพราะต่างก็มาลงเรียนเพียงคนเดียวทั้งคู่ ต่างจากคนอื่นๆ ที่มักจะหนีบใครมาเป็นเพื่อนสักคนสองคน รดิศลืมเรื่องเด็กในท้องของณิชาไปบางหน หลายหนจำได้ แต่ไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญอะไร ที่สำคัญระหว่างเขากับเธอคือเรื่องงาน แล้วนอกนั้นก็คุยกันเรื่องเรียนกับเรื่องทั่วไป
รดิศค่อนข้างประทับใจณิชา ผู้หญิงคนนี้น่ารักแต่ไม่รู้ว่าตัวเองน่ารัก อาจเพราะหน้าตาเธอธรรมดาๆ แต่มีเสน่ห์ที่ลักยิ้มกับฟันเขี้ยว นอกนั้นก็พื้นๆ ทั่วๆ ไป หน้ากลมขาว ผมประบ่า ไม่แต่งหน้า เสียงของเธอไม่หวานแหลมน่ารำคาญ และเรื่องที่เธอชวนคุยก็สนุกดี
หลังเลิกเรียน ทั้งคู่ไปกินข้าวกลางวันด้วยกันบางหน และตอนบ่ายซึ่งเป็นเวลาที่ทั้งคู่ว่าง พวกเขาก็นั่งคุยกันนานๆ เธอกับเขาสนใจตรงกันหลายเรื่อง มีหนังสือหลายเล่มที่ทั้งสองคนเคยอ่าน
“เรื่องนั้นหนูก็ชอบ หนูอ่านแล้วร้องไห้เลย พี่ดิศร้องไห้ไหม” ณิชาร้องออกมาเมื่อเขาเอ่ยชื่อหนังสือเล่มหนึ่ง ทั้งสองคนนั่งตรงข้ามกันอยู่ในโรงอาหารที่ไม่มีผู้คน นอกจากบรรดาแม่ค้าแล้วมีนักศึกษานั่งอยู่ห่างออกไปอีกแค่คนเดียวเท่านั้น หมดเวลาพักแล้ว ทุกคนไปเข้าเรียนกัน
“ร้องไห้เหรอ” รดิศทวนคำแล้วเกือบขำ ณิชาบางเวลาก็ชอบพูดอะไรบวมๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว และสักพักเธอก็จะรู้ตัว อย่างครั้งนี้
“โอ๊ย คงไม่ร้องหรอกเนอะ พี่ดิศคงไม่ขี้แงเหมือนหนู” ณิชาพูดแล้วก็หัวเราะ
“พี่ไม่ร้องไห้กับเรื่องไม่จริง ถ้าดูหนังหรืออ่านหนังสือจะไม่ร้องไห้ ถ้าจะร้องไห้ เราควรจะร้องไห้ให้เรื่องจริง” รดิศเอ่ยเรื่อยๆ ไม่ได้คิดอะไรมากนัก เขารู้เขาอ่อนไหวกว่าที่ผู้ชายควรจะเป็น เขาไม่ได้อยากบอกใครในเรื่องนั้น แต่ถ้าบอกแค่นี้ก็คงไม่เป็นไร
“เหรอคะ เวลาหนูดูหนังหรืออ่านหนังสือนะ ถ้ามันเศร้า ถึงจะแค่นิดหน่อยนะ หนูร้องไห้ทุกทีเลย แต่ถ้าเรื่องจริงๆ เวลาเศร้ากลับไม่ค่อยร้องนะ มันเศร้า มันเสียใจ แต่มันจะอยู่ในอกนี่ เหมือนเอาเข้าจริงกลับร้องไม่ออกน่ะ” ณิชาบอก เอามือทุบอกตัวเองเบาๆ
“อ่าว แล้ววันนั้นร้องไห้ทำไม” รดิศถาม
ณิชาอึ้งไป เขาและเธอมักจะทำเป็นลืมอยู่เสมอ ลืมว่าก่อนวันแนะนำตัวมันมีการพบกันสองครั้ง รดิศไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ พอๆ กับที่ณิชาไม่เคยพูด
เธอจ้องหน้าเขาด้วยตากลมโต เหมือนจะอึ้งไปไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ไม่นานก็แย้มยิ้มน้อยๆ ออกมา มันเป็นรอยยิ้มบังหน้า ยิ้มออกมาเพื่อจะไม่ดูเศร้า รดิศย่นหัวคิ้วให้รอยยิ้มนั้น เขาไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย
ณิชายังคงฝืนยิ้มขณะที่ตอบออกมา “วันนั้นมันหนักหนาจริงๆ ปกติไม่ค่อยร้องไห้ แต่วันนั้นรู้สึกถึงขีดสุดแล้ว ก็ร้อง ร้องครั้งเดียวแล้วจบ จากนั้นก็ไม่เคยร้องอีก ใจคนเราตอนผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ มันก็เหมือนฟ้ากลางคืน เหมือนมันมืดน่ะพี่ มันจะมืดลง มืดลงไปเรื่อยๆ พอเกือบเช้า...” แล้วเธอก็ยิ้ม ครั้งนี้ต่างจากเดิม เป็นรอยยิ้มที่สว่าง สดใส รดิศถอนหายใจ เขาโล่งใจขึ้น
“มันมืดที่สุดเลยพี่ เป็นช่วงเวลาที่มืดที่สุด หนาวที่สุด แล้วพอหนูร้องไห้ออกมา ตะวันมันก็มาละ มันเช้าละ จากนั้นมันก็สว่างขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องร้องไห้อีก” เธอพูดจากนั้นก็ก้มหน้าลง “น่าอาย วันนั้นที่พี่เห็นเป็นวันที่หนูแย่ที่สุดในชีวิต”
“วันนั้นภาพณิสะเทือนใจพี่มาก” รดิศพูด มองไปไกลจากใบหน้าของเธอ เขานึกถึงอารมณ์ในวันนั้น วันที่เห็นภาพเธอเดินออกไปแบบเดียวกับวันที่แม่ตาย
“จริงหรือคะ” เธอถาม ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อ แต่เพราะแปลกใจ
“พี่เห็นแล้วเศร้ามาก” รดิศตอบเสียงต่ำ
“ทำไมล่ะคะ หนูดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ณิชาถาม
“เปล่าหรอก ไม่ใช่ๆ” รดิศรีบเอ่ยแก้ เขาขยี้หัวตัวเอง อยากให้เธอลืมมันไป เรื่องความเศร้าของเขา อยากให้เธอลืมมันไป...ไม่อยากให้เธอรับรู้มัน “มันคงแค่อารมณ์น่ะ วันฝนตก เห็นคนร้องไห้ พี่เองก็เครียดๆ”
“แต่วันที่พี่พูดกับหนูหน้าห้องพยาบาลหนูดีใจมากเลยนะ” ณิชาพูดแล้วก็มองไปทางอื่น เธอคงเก้อเขินอยู่ไม่น้อย
รดิศก้มหน้าลง เขารู้สึกอาย ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงได้รู้สึกอย่างนั้น ที่ผ่านมาเขาเงียบมาตลอด เพราะณิชาไม่พูดถึงเรื่องนี้ ก็รู้ด้วยว่าเธอไม่อยากพูด และในเมื่อมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ เขาก็เลยคิดว่ามันคงไม่สุภาพถ้าจะเข้าไปยุ่ง
เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น เขาบอกตัวเอง
“ดีใจเหรอ...” เขารำพึงเบาๆ อดจะคิดไม่ได้ว่ามันเป็นคำพูดที่ดูโรคจิตจะตาย เป็นคำพูดที่ปราศจากการกลั่นกรองด้วยมารยาทแบบมนุษย์ๆ เขาพูดมันออกมาจากจิตใจ...ลึกๆ ข้างใน
“ค่ะ ดีใจ ตอนนั้นหนูเลยเห็นพี่เป็นคนใจดี” ณิชาพูดและทำให้รดิศขำ “แล้วตอนนี้เห็นพี่เป็นคนยังไง”
“ก็ใจดีค่ะ” เธอตอบยิ้ม
เขามองหน้าเธอตรงๆ รู้สึกอีกครั้งว่ากังวลแทนเธอเรื่องของในท้องของเธอนั่น กังวลทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของเขา อันที่จริงเขาอยากพูดกับเธอเรื่องนี้มาตลอดแต่ไม่กล้า
ณิชามองสบมาด้วยดวงตาไม่หวาดหวั่น เขามองตอบกลับไป มองร่างกายของเธอ และตัดสินใจลองเอ่ยถาม “กี่เดือนแล้ว...”
“คะ” ตอนแรกณิชางุนงง แต่เขาพยักเพยิดไปทางท้องของเธอและถามซ้ำ “กี่เดือน”
เธอเข้าใจว่าเขาถามถึงอะไร “สี่แล้วค่ะ”
รดิศมองเธอ ไม่มีความรู้สักนิดว่าเธอควรตัวใหญ่หรือตัวเล็กกว่านี้ เขาอยากถามอะไรต่อแต่ไม่รู้จะถามอะไร ณิชามองหน้าเขาแล้วยิ้มเหมือนจะอ่านเขาออก “ว่าจะมาเรียนไปก่อนเทอมนี้ แล้วเทอมหน้าจะดรอปค่ะ”
สายลมพัดผ่านทั้งคู่ไปช้าๆ รดิศไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะพูดอะไร เขาไม่ใช่คนฉลาดอะไรมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่ “จะดรอปไปเทอมนึงเหรอ”
“อาจจะปีนึงก็ได้ค่ะ หนูยังไม่ได้คิด อยากอยู่เลี้ยงเค้าช่วงแรกๆ ด้วย หลังจากนั้นอาจจะลงปีละน้อยๆ พอเริ่มจบช้ากว่าสี่ปีไปแล้ว จะห้า หก หรือเจ็ด ก็เริ่มเท่าๆ กัน ลงน้อยๆ จะได้อยู่บ้าน หนูอยากเลี้ยงลูก”
“คนเรามีลูกแล้วก็อยากจะจบเร็วๆ ไปทำงานหาเงินให้ลูกกันทั้งนั้น” รดิศถาม
“แม่หนูเขาขี้เกียจเลี้ยงลูกแล้วน่ะค่ะ” ณิชาพูดแล้วหัวเราะร่วน “เขาเหนื่อยแล้วนะ เลี้ยงหนูกับพี่สาวมา”
“แล้วแม่ไม่ว่าอะไรเหรอเนี่ย” รดิศสบช่องถาม
“เขาไม่รู้จะว่ายังไงมั้งคะ ก็มีแล้วนี่ เขาก็ดุแหละแรกๆ แต่ต่อมาก็มีแต่หาทางแก้ปัญหากัน จนตอนนี้ยอมรับกันหมดแล้ว ทั้งหนูทั้งพ่อแม่” ณิชาเอ่ย แววตาของเธอวูบไปนิด รดิศรู้ว่าเธอคิดคำเดียวกับเขา
ตอนแรกชายหนุ่มว่าจะไม่ถาม แต่เขาก็ถาม ห้ามใจไม่ไหว “แล้วแฟนล่ะ”
ณิชามองหน้าเขา แววน้ำวูบไหวในดวงตาเธอ สายตาเหมือนตัดพ้อนิดๆ ทั้งที่รดิศไม่ได้เป็นพ่อของลูกเธอเสียหน่อย “รายนั้นเขายังไม่พร้อมเป็นพ่อใครหรอกค่ะ” เธอกล่าวเสียงพร่า “เราคุยกันแล้วเขาบอกให้เอาออก หนูไม่อยาก หนูเลยว่าจะเลี้ยงไปคนเดียว เขาก็ไปตามทางของเขา”
“เลิกกันแล้วเหรอ” รดิศถาม
“ตอนแรกไม่เลิกหรอกพี่ พอรู้ว่าหนูจะเอาไว้ก็เลยเลิก มันคบกันต่อไม่ไหว ถ้าหนูจะเลี้ยงลูกแล้วบอกว่า อันนี้ไม่ใช่ลูกเขานะ แต่คบต่อ มันทำไม่ได้ไง”
“ก็จริงน่ะนะ” รดิศยิ้มแกนๆ เป็นยิ้มที่มีไว้สำหรับสิ่งที่ไม่น่ายิ้ม คนเราจะมียิ้มแบบนี้ไว้คนละอัน ไว้ยิ้มรับกับสิ่งที่ไม่ควรยิ้มเลยแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงกับมัน
“วันมามหาลัยวันแรกที่ไม่มีเขา หนูเลยร้องไห้เลย” ณิชาพูดแล้วก็ก้มหน้ามองโต๊ะ รดิศมองเสี้ยวหน้าเธอ
ช่างแสนเศร้า...เธอรักเขาอยู่
“พี่เกลียดคนอย่างนี้ว่ะ” เขาลองพูดดู
และเธอก็เงยหน้ามา บอกว่า “อย่าเลยค่ะ เขาเป็นแค่เด็ก เด็กๆ รับไม่ไหวหรอกเรื่องอย่างนี้ เขาทำตามปกติแล้ว พี่ เขามีเหตุผลของเขา...”
และใช่ ช่างน่าเศร้า นอกจากเธอยังรักเขาอยู่แล้ว เธอยังให้อภัยเขาแล้วด้วย
“ไม่โกรธเลยเหรอ เขาทิ้งณิไว้กับปัญหานะ” รดิศพูด ออกจะฉุน
“ไม่ล่ะค่ะ เขามีความคิดของเขา หนูมีความคิดของหนู ไม่คิดเหรอคะว่าเขามีสิทธิโกรธหนูที่หนูไม่เอาออก” ณิชาถาม แววตาซื่อมองสบมา
ไม่มี รดิศเกือบจะพ่นออกไป แต่ก็นึกได้ ชายคนนั้น – ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม – เขามีสิทธิโกรธณิชาที่เธอไม่เอาออกเพื่อให้ปัญหามันง่ายขึ้น พอๆ กับที่ไม่มีสิทธิโกรธณิชาที่รักษาสิ่งสำคัญไว้ ส่วนผู้หญิงตรงหน้าเขาเองก็มีสิทธิโกรธคนๆ นั้นที่ทิ้งเธอไป พอๆ กับที่ไม่มีสิทธิโกรธ เพราะคนเรารับผิดชอบไม่ไหวก็คือรับผิดชอบไม่ไหว เราจะหวังให้คนมีความรับผิดชอบในสิ่งที่มากเกินกว่าที่เขาจะรับไหวไม่ได้ ไม่งั้นเราเองนั่นแหละที่ไม่ยุติธรรม
แล้วมากเกินจะรับไหวของแต่ละคนก็ต่างกันไป...
ณิชาคงคิดในจุดนี้ แล้วก็ให้อภัยเขาแล้ว
“ขาดทุนจริง” รดิศบ่นพึม “ณิเลยต้องลำบากอยู่คนเดียว”
“หนูเชื่อว่าเขาต้องเสียใจ” ณิชาบอก เหยียดแขนมาข้างหน้าคลายเมื่อย “แต่หนูไม่อยากให้ใครเสียใจหรอกนะ”
รดิศถอนหายใจกับนิสัยอันแสนขาดทุนของณิชา “แล้วทุกวันนี้ณิมีความสุขไหม” เขาถามฟาดเปรี้ยงลงไป ถ้าฉลาดกว่านี้สักหน่อยคงรู้ตัวว่าไม่ควรถาม เพราะมันเป็นคำถามของคนกะเอาชนะ คนที่กะจะฟาดคำแรงๆ ลงไปให้อีกฝ่ายตอบไม่ถูก สะอึก ร้องไห้ เจ็บปวด ถ้าเขาไม่ได้อยากทำร้ายผู้อื่น เขาไม่ควรถามคำนี้
แต่ลึกๆ ลงไปในใจมนุษย์นั้น เราชอบทำร้ายผู้อื่น
รดิศผู้น่าสงสาร เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเขาพูดอย่างนี้เพราะอยากให้ณิชาบอกว่าตัวเองเสียใจ เขาอยากให้เธอแสดงความอ่อนแอออกมา นั่นเพราะเขากลัวว่า หากเธอเก็บกดความอ่อนแอเอาไว้ในใจ เธอจะทรมาน เขาไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น นอกจากนี้...บางทีเขาอาจจะอยากให้เธอพูดสิ่งที่กดไว้ และพึ่งพาเขาสักนิดก็คงดี
แต่ณิชาไม่ได้อ่อนแออย่างนั้น รดิศน่ะอ่อนแอเลยคิดได้แค่นั้น ตรงข้ามกัน ณิชานั้นแข็งแกร่ง ยิ่งมีลูกยิ่งแข็งแกร่งขึ้น เธอไม่ได้จนต่อคำถามของรดิศ ไม่ได้ถูกทำให้สะอึกไป คำตอบของเธอต่างหากที่ทำให้รดิศนิ่งงัน
เธอวางสองมือประสานกันบนโต๊ะ เงยหน้าขึ้นสบตาเขาด้วยสีหน้าแจ่มใสและบอกเขาว่า “มีความสุขสิคะ”
รดิศมองตาเธอ และรู้ว่าเธอพูดจริง ความสุขของณิชาทำให้เขาสะอึก เขาพบกับสิ่งที่เขาไม่รู้จัก สิ่งที่ตัวเขาเองไม่เคยเป็น สิ่งที่งดงาม ล้ำค่า และทอแสง สิ่งที่มีความสุข สิ่งที่วางใจได้ว่าจะไม่ฆ่าตัวตายจากเขาไป
วินาทีหนึ่ง รดิศเกือบจะเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปคว้ามือเธอเอาไว้ แต่ณิชากลับสูดลมหายใจเข้าแล้วลุกขึ้น “ซื้อน้ำดีกว่า พี่เอาอะไรไหมคะ”
เธอก้มลงควานหากระเป๋าเงินขึ้นมาจากกระเป๋าถือ หยิบเงินออกมายี่สิบบาทและโยนกระเป๋าเงินลงบนโต๊ะอย่างไว้ใจเพื่อนชาย
“ไม่” รดิศพิมพำคอแห้งผาก ณิชาจึงเดินจากโต๊ะไปที่ร้านขายน้ำ
รดิศมองกระเป๋าเงินที่เปิดอ้าของณิชา ภาพที่สอดไว้เป็นภาพเธอกับชายหนุ่มคนหนึ่ง มันเป็นภาพคู่รัก เขาจ้องหน้าคนๆ นั้น อย่างที่บอก เขาจำชื่อคนไม่ค่อยเก่ง แถมเรื่องจำหน้าก็แย่ แต่รดิศก็จ้องหน้าคนๆ นั้น คนที่ณิชายังรัก คนที่ณิชาให้อภัย คนที่ทิ้งเธอไว้ คนที่ยังเด็กเกินกว่าจะรับอะไรๆ ไหว เขาจ้องภาพนั้นจนแทบจะปรุ
ณิชาเดินกลับมาที่โต๊ะ เมื่อเห็นว่าเขามองอะไรอยู่ก็หยิบกระเป๋าขึ้นปิด เธอนั่งลง หย่อนกระเป๋าเงินลงไปในกระเป๋าถือ จิบน้ำพลางมองหน้าเขาโดยไม่พูดอะไร รดิศรู้สึกเหมือนตัวเองทำผิด เขาสู้แววตาของณิชาไม่ได้ เขาสู้ความสว่างของณิชาไม่ได้
“พี่กลับแล้วดีกว่าวันนี้” ชายหนุ่มพูดแล้วก้มลงหยิบหนังสือที่วางกองไว้
“บางทีหนูก็คิดนะคะ ว่าพี่มองหนูเป็นคนยังไง หนูไม่สนใจหรอกว่าคนอื่นจะมองหนูยังไง ถ้าอีกหน่อยท้องใหญ่ขึ้น คนอื่นก็คงจะว่าหนูจะท้องมาเรียนหนูก็ไม่สนใจ หรือถ้าหนูดรอปไปคลอดลูก แล้วคนอื่นจะว่ายังไง หนูก็ไม่สนใจ เพราะถ้าสนใจจะอยู่ไม่ได้” เธอพูดระหว่างที่เขาเก็บข้าวของ “แต่หนูสงสัย พี่มองหนูยังไงนะ เพราะพี่ไม่เคยตัดสินหนูเหมือนใครๆ แถมพี่ยังใจดี”
เธอเมินมองไปทางอื่น ก้มหน้าเบี่ยงไปทางขวา เอ่ยว่า “ถ้าความจริงในใจพี่คิดติหนูเหมือนคนอื่น หนูคงเสียใจ”
รดิศรวบข้าวของไว้ในมือ เขามองณิชา แต่เมื่อเธอมองกลับมาเขากลับก้มลงมองโต๊ะ “พี่คิด เหมือนที่พี่พูดวันแรกๆ ที่เจอกันนั่นแหละ เธอเป็นคนเข้มแข็ง...แล้วก็น่าชื่นชมมากนะ”
แล้วก็สว่างไสว...เสียจนเขารู้สึกเหมือนตัวเองที่ได้แต่นั่งร้องไห้รอเวลาฝนซาคนนั้น เป็นเพียงแค่เงา ไม่ใช่คนจริงๆ
รดิศไม่ได้พูดต่อ เขาเดินจากไป ได้ยินเสียงณิชาเอ่ยมาข้างหลังว่า “ขอบคุณนะคะ บาย”
เขาหันหน้ากลับไป โบกมือให้ “บาย”
วันพุธต่อมา รดิศโผล่หน้าไปที่ห้องเรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสนทนาระดับสาม มันเป็นคาบที่สองแล้วของการเปิดเทอม แต่ศุกร์ก่อนเขาโดดคาบแรกของวิชานี้ เพราะไข้ของเขาไม่ลดลงเลย กว่าจะลดก็บ่ายคล้อย รดิศต้องนอนอยู่บนเตียงจนขาดเรียน และพอเริ่มเย็นก็กลับบ้านซื้อข้าวขาหมูไปให้พ่อ
เขาเดินหมุนซ้ายหมุนขวาหาที่นั่งที่น่าจะยังไม่ถูกจับจอง วิชานี้รับคนครั้งละยี่สิบคน ห้องเรียนจะจัดเก้าอี้เป็นรูปเกือกม้า เพื่อการสะดวกในการเรียน “สนทนา”
สำหรับคลาสเรียนกลุ่มเล็กๆ มันคล้ายมีกฎที่มองไม่เห็นเขียนอยู่ว่า หากใครนั่งที่ไหนก็จะนั่งที่นั้นไปจนหมดเทอม เมื่อที่นั่งถูกล็อคตามตำแหน่งการหย่อนก้นลงในคาบแรกแล้ว รดิศจึงไม่แน่ใจว่าจะนั่งลงที่ไหนดี ที่ที่เขานั่งจะไปทับที่คนอื่นเอารึเปล่า
“นั่งข้างเราก็ได้ ข้างเราว่าง” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาข้างหลังเขา ผู้มาใหม่เดินเข้ามาในห้อง ผ่านร่างเขาและนั่งลงที่เก้าอี้ตัวริมซ้ายสุดของเกือกม้า ยกมือตบที่เก้าอี้เลคเชอร์ตัวข้างๆ เบาๆ และมองหน้าเขาอย่างจดจำได้ “คาบก่อนไม่มาใช่มั้ย ข้างเราว่าง นั่งสิคะ ซื้อหนังสือรึยัง”
“ซื้อแล้ว” รดิศยกหนังสือให้ดูก่อนจะนั่งลงเก้ๆ กังๆ เขาไม่คิดว่าจะเจอเธออีก
“มาเรียนคนเดียวรึเปล่าคะ” เธอหันมาถามเขา และยิ้ม เธอกำลังพยายามทำตัวให้เป็นธรรมชาติ ไม่แสดงท่าอะไรให้ดูกระอักกระอ่วนแม้ทั้งสองฝ่ายจะเคยพบกันในสถานการณ์แปลกๆ มาก่อนก็ตาม อันที่จริงเธอจะทำตัวเหมือนไม่เคยพบเขาเลยก็ได้ แต่ถ้าอย่างนั้นรดิศคงอึดอัดใจ เขาจึงอดดีใจไม่ได้ที่เธอทำทีเหมือนรู้จักเขามาก่อนแล้ว
อันที่จริงก็ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่รดิศเองก็รู้สึกคล้ายรู้จักอยู่เหมือนกัน “มาคนเดียวครับ” เขาตอบ เพื่อนๆ ของเขาบอกลาไประหว่างวิชาสนทนาภาษาอังกฤษระดับสอง และไม่คิดจะสนทนาอะไรที่ยากไปกว่านี้
“งั้นเวลางานคู่เราคงต้องคู่กันแล้วล่ะค่ะ เพราะเราก็มาคนเดียว” เธอบอก “อยู่ปีอะไรคะ”
“ปีสี่” รดิศตอบ
“อ่าว งั้นหนูปีสาม เรียกพี่นะ” เธอพูด ท่าทางสบายใจขึ้น เปลี่ยนสรรพนามเสียน่าเอ็นดูทั้งที่ไม่ได้ห่างกันเท่าไร
“ชื่ออะไรเหรอ” รดิศถาม
“ชื่อณิค่ะ พี่ล่ะคะ”
“รดิศ” เขาตอบและก็ยิ้มออกมา แล้วอาจารย์ก็เดินเข้ามาในคลาส การเรียนการสอนเริ่มต้นขึ้น
###
ตั้งแต่นั้นรดิศจะได้พบณิชาในคาบเรียนทุกวันพุธและศุกร์ เขาต้องทำงานบางชิ้นร่วมกันกับเธอเพราะต่างก็มาลงเรียนเพียงคนเดียวทั้งคู่ ต่างจากคนอื่นๆ ที่มักจะหนีบใครมาเป็นเพื่อนสักคนสองคน รดิศลืมเรื่องเด็กในท้องของณิชาไปบางหน หลายหนจำได้ แต่ไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญอะไร ที่สำคัญระหว่างเขากับเธอคือเรื่องงาน แล้วนอกนั้นก็คุยกันเรื่องเรียนกับเรื่องทั่วไป
รดิศค่อนข้างประทับใจณิชา ผู้หญิงคนนี้น่ารักแต่ไม่รู้ว่าตัวเองน่ารัก อาจเพราะหน้าตาเธอธรรมดาๆ แต่มีเสน่ห์ที่ลักยิ้มกับฟันเขี้ยว นอกนั้นก็พื้นๆ ทั่วๆ ไป หน้ากลมขาว ผมประบ่า ไม่แต่งหน้า เสียงของเธอไม่หวานแหลมน่ารำคาญ และเรื่องที่เธอชวนคุยก็สนุกดี
หลังเลิกเรียน ทั้งคู่ไปกินข้าวกลางวันด้วยกันบางหน และตอนบ่ายซึ่งเป็นเวลาที่ทั้งคู่ว่าง พวกเขาก็นั่งคุยกันนานๆ เธอกับเขาสนใจตรงกันหลายเรื่อง มีหนังสือหลายเล่มที่ทั้งสองคนเคยอ่าน
“เรื่องนั้นหนูก็ชอบ หนูอ่านแล้วร้องไห้เลย พี่ดิศร้องไห้ไหม” ณิชาร้องออกมาเมื่อเขาเอ่ยชื่อหนังสือเล่มหนึ่ง ทั้งสองคนนั่งตรงข้ามกันอยู่ในโรงอาหารที่ไม่มีผู้คน นอกจากบรรดาแม่ค้าแล้วมีนักศึกษานั่งอยู่ห่างออกไปอีกแค่คนเดียวเท่านั้น หมดเวลาพักแล้ว ทุกคนไปเข้าเรียนกัน
“ร้องไห้เหรอ” รดิศทวนคำแล้วเกือบขำ ณิชาบางเวลาก็ชอบพูดอะไรบวมๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว และสักพักเธอก็จะรู้ตัว อย่างครั้งนี้
“โอ๊ย คงไม่ร้องหรอกเนอะ พี่ดิศคงไม่ขี้แงเหมือนหนู” ณิชาพูดแล้วก็หัวเราะ
“พี่ไม่ร้องไห้กับเรื่องไม่จริง ถ้าดูหนังหรืออ่านหนังสือจะไม่ร้องไห้ ถ้าจะร้องไห้ เราควรจะร้องไห้ให้เรื่องจริง” รดิศเอ่ยเรื่อยๆ ไม่ได้คิดอะไรมากนัก เขารู้เขาอ่อนไหวกว่าที่ผู้ชายควรจะเป็น เขาไม่ได้อยากบอกใครในเรื่องนั้น แต่ถ้าบอกแค่นี้ก็คงไม่เป็นไร
“เหรอคะ เวลาหนูดูหนังหรืออ่านหนังสือนะ ถ้ามันเศร้า ถึงจะแค่นิดหน่อยนะ หนูร้องไห้ทุกทีเลย แต่ถ้าเรื่องจริงๆ เวลาเศร้ากลับไม่ค่อยร้องนะ มันเศร้า มันเสียใจ แต่มันจะอยู่ในอกนี่ เหมือนเอาเข้าจริงกลับร้องไม่ออกน่ะ” ณิชาบอก เอามือทุบอกตัวเองเบาๆ
“อ่าว แล้ววันนั้นร้องไห้ทำไม” รดิศถาม
ณิชาอึ้งไป เขาและเธอมักจะทำเป็นลืมอยู่เสมอ ลืมว่าก่อนวันแนะนำตัวมันมีการพบกันสองครั้ง รดิศไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ พอๆ กับที่ณิชาไม่เคยพูด
เธอจ้องหน้าเขาด้วยตากลมโต เหมือนจะอึ้งไปไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ไม่นานก็แย้มยิ้มน้อยๆ ออกมา มันเป็นรอยยิ้มบังหน้า ยิ้มออกมาเพื่อจะไม่ดูเศร้า รดิศย่นหัวคิ้วให้รอยยิ้มนั้น เขาไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย
ณิชายังคงฝืนยิ้มขณะที่ตอบออกมา “วันนั้นมันหนักหนาจริงๆ ปกติไม่ค่อยร้องไห้ แต่วันนั้นรู้สึกถึงขีดสุดแล้ว ก็ร้อง ร้องครั้งเดียวแล้วจบ จากนั้นก็ไม่เคยร้องอีก ใจคนเราตอนผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ มันก็เหมือนฟ้ากลางคืน เหมือนมันมืดน่ะพี่ มันจะมืดลง มืดลงไปเรื่อยๆ พอเกือบเช้า...” แล้วเธอก็ยิ้ม ครั้งนี้ต่างจากเดิม เป็นรอยยิ้มที่สว่าง สดใส รดิศถอนหายใจ เขาโล่งใจขึ้น
“มันมืดที่สุดเลยพี่ เป็นช่วงเวลาที่มืดที่สุด หนาวที่สุด แล้วพอหนูร้องไห้ออกมา ตะวันมันก็มาละ มันเช้าละ จากนั้นมันก็สว่างขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องร้องไห้อีก” เธอพูดจากนั้นก็ก้มหน้าลง “น่าอาย วันนั้นที่พี่เห็นเป็นวันที่หนูแย่ที่สุดในชีวิต”
“วันนั้นภาพณิสะเทือนใจพี่มาก” รดิศพูด มองไปไกลจากใบหน้าของเธอ เขานึกถึงอารมณ์ในวันนั้น วันที่เห็นภาพเธอเดินออกไปแบบเดียวกับวันที่แม่ตาย
“จริงหรือคะ” เธอถาม ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อ แต่เพราะแปลกใจ
“พี่เห็นแล้วเศร้ามาก” รดิศตอบเสียงต่ำ
“ทำไมล่ะคะ หนูดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ณิชาถาม
“เปล่าหรอก ไม่ใช่ๆ” รดิศรีบเอ่ยแก้ เขาขยี้หัวตัวเอง อยากให้เธอลืมมันไป เรื่องความเศร้าของเขา อยากให้เธอลืมมันไป...ไม่อยากให้เธอรับรู้มัน “มันคงแค่อารมณ์น่ะ วันฝนตก เห็นคนร้องไห้ พี่เองก็เครียดๆ”
“แต่วันที่พี่พูดกับหนูหน้าห้องพยาบาลหนูดีใจมากเลยนะ” ณิชาพูดแล้วก็มองไปทางอื่น เธอคงเก้อเขินอยู่ไม่น้อย
รดิศก้มหน้าลง เขารู้สึกอาย ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงได้รู้สึกอย่างนั้น ที่ผ่านมาเขาเงียบมาตลอด เพราะณิชาไม่พูดถึงเรื่องนี้ ก็รู้ด้วยว่าเธอไม่อยากพูด และในเมื่อมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ เขาก็เลยคิดว่ามันคงไม่สุภาพถ้าจะเข้าไปยุ่ง
เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น เขาบอกตัวเอง
“ดีใจเหรอ...” เขารำพึงเบาๆ อดจะคิดไม่ได้ว่ามันเป็นคำพูดที่ดูโรคจิตจะตาย เป็นคำพูดที่ปราศจากการกลั่นกรองด้วยมารยาทแบบมนุษย์ๆ เขาพูดมันออกมาจากจิตใจ...ลึกๆ ข้างใน
“ค่ะ ดีใจ ตอนนั้นหนูเลยเห็นพี่เป็นคนใจดี” ณิชาพูดและทำให้รดิศขำ “แล้วตอนนี้เห็นพี่เป็นคนยังไง”
“ก็ใจดีค่ะ” เธอตอบยิ้ม
เขามองหน้าเธอตรงๆ รู้สึกอีกครั้งว่ากังวลแทนเธอเรื่องของในท้องของเธอนั่น กังวลทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของเขา อันที่จริงเขาอยากพูดกับเธอเรื่องนี้มาตลอดแต่ไม่กล้า
ณิชามองสบมาด้วยดวงตาไม่หวาดหวั่น เขามองตอบกลับไป มองร่างกายของเธอ และตัดสินใจลองเอ่ยถาม “กี่เดือนแล้ว...”
“คะ” ตอนแรกณิชางุนงง แต่เขาพยักเพยิดไปทางท้องของเธอและถามซ้ำ “กี่เดือน”
เธอเข้าใจว่าเขาถามถึงอะไร “สี่แล้วค่ะ”
รดิศมองเธอ ไม่มีความรู้สักนิดว่าเธอควรตัวใหญ่หรือตัวเล็กกว่านี้ เขาอยากถามอะไรต่อแต่ไม่รู้จะถามอะไร ณิชามองหน้าเขาแล้วยิ้มเหมือนจะอ่านเขาออก “ว่าจะมาเรียนไปก่อนเทอมนี้ แล้วเทอมหน้าจะดรอปค่ะ”
สายลมพัดผ่านทั้งคู่ไปช้าๆ รดิศไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะพูดอะไร เขาไม่ใช่คนฉลาดอะไรมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่ “จะดรอปไปเทอมนึงเหรอ”
“อาจจะปีนึงก็ได้ค่ะ หนูยังไม่ได้คิด อยากอยู่เลี้ยงเค้าช่วงแรกๆ ด้วย หลังจากนั้นอาจจะลงปีละน้อยๆ พอเริ่มจบช้ากว่าสี่ปีไปแล้ว จะห้า หก หรือเจ็ด ก็เริ่มเท่าๆ กัน ลงน้อยๆ จะได้อยู่บ้าน หนูอยากเลี้ยงลูก”
“คนเรามีลูกแล้วก็อยากจะจบเร็วๆ ไปทำงานหาเงินให้ลูกกันทั้งนั้น” รดิศถาม
“แม่หนูเขาขี้เกียจเลี้ยงลูกแล้วน่ะค่ะ” ณิชาพูดแล้วหัวเราะร่วน “เขาเหนื่อยแล้วนะ เลี้ยงหนูกับพี่สาวมา”
“แล้วแม่ไม่ว่าอะไรเหรอเนี่ย” รดิศสบช่องถาม
“เขาไม่รู้จะว่ายังไงมั้งคะ ก็มีแล้วนี่ เขาก็ดุแหละแรกๆ แต่ต่อมาก็มีแต่หาทางแก้ปัญหากัน จนตอนนี้ยอมรับกันหมดแล้ว ทั้งหนูทั้งพ่อแม่” ณิชาเอ่ย แววตาของเธอวูบไปนิด รดิศรู้ว่าเธอคิดคำเดียวกับเขา
ตอนแรกชายหนุ่มว่าจะไม่ถาม แต่เขาก็ถาม ห้ามใจไม่ไหว “แล้วแฟนล่ะ”
ณิชามองหน้าเขา แววน้ำวูบไหวในดวงตาเธอ สายตาเหมือนตัดพ้อนิดๆ ทั้งที่รดิศไม่ได้เป็นพ่อของลูกเธอเสียหน่อย “รายนั้นเขายังไม่พร้อมเป็นพ่อใครหรอกค่ะ” เธอกล่าวเสียงพร่า “เราคุยกันแล้วเขาบอกให้เอาออก หนูไม่อยาก หนูเลยว่าจะเลี้ยงไปคนเดียว เขาก็ไปตามทางของเขา”
“เลิกกันแล้วเหรอ” รดิศถาม
“ตอนแรกไม่เลิกหรอกพี่ พอรู้ว่าหนูจะเอาไว้ก็เลยเลิก มันคบกันต่อไม่ไหว ถ้าหนูจะเลี้ยงลูกแล้วบอกว่า อันนี้ไม่ใช่ลูกเขานะ แต่คบต่อ มันทำไม่ได้ไง”
“ก็จริงน่ะนะ” รดิศยิ้มแกนๆ เป็นยิ้มที่มีไว้สำหรับสิ่งที่ไม่น่ายิ้ม คนเราจะมียิ้มแบบนี้ไว้คนละอัน ไว้ยิ้มรับกับสิ่งที่ไม่ควรยิ้มเลยแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงกับมัน
“วันมามหาลัยวันแรกที่ไม่มีเขา หนูเลยร้องไห้เลย” ณิชาพูดแล้วก็ก้มหน้ามองโต๊ะ รดิศมองเสี้ยวหน้าเธอ
ช่างแสนเศร้า...เธอรักเขาอยู่
“พี่เกลียดคนอย่างนี้ว่ะ” เขาลองพูดดู
และเธอก็เงยหน้ามา บอกว่า “อย่าเลยค่ะ เขาเป็นแค่เด็ก เด็กๆ รับไม่ไหวหรอกเรื่องอย่างนี้ เขาทำตามปกติแล้ว พี่ เขามีเหตุผลของเขา...”
และใช่ ช่างน่าเศร้า นอกจากเธอยังรักเขาอยู่แล้ว เธอยังให้อภัยเขาแล้วด้วย
“ไม่โกรธเลยเหรอ เขาทิ้งณิไว้กับปัญหานะ” รดิศพูด ออกจะฉุน
“ไม่ล่ะค่ะ เขามีความคิดของเขา หนูมีความคิดของหนู ไม่คิดเหรอคะว่าเขามีสิทธิโกรธหนูที่หนูไม่เอาออก” ณิชาถาม แววตาซื่อมองสบมา
ไม่มี รดิศเกือบจะพ่นออกไป แต่ก็นึกได้ ชายคนนั้น – ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม – เขามีสิทธิโกรธณิชาที่เธอไม่เอาออกเพื่อให้ปัญหามันง่ายขึ้น พอๆ กับที่ไม่มีสิทธิโกรธณิชาที่รักษาสิ่งสำคัญไว้ ส่วนผู้หญิงตรงหน้าเขาเองก็มีสิทธิโกรธคนๆ นั้นที่ทิ้งเธอไป พอๆ กับที่ไม่มีสิทธิโกรธ เพราะคนเรารับผิดชอบไม่ไหวก็คือรับผิดชอบไม่ไหว เราจะหวังให้คนมีความรับผิดชอบในสิ่งที่มากเกินกว่าที่เขาจะรับไหวไม่ได้ ไม่งั้นเราเองนั่นแหละที่ไม่ยุติธรรม
แล้วมากเกินจะรับไหวของแต่ละคนก็ต่างกันไป...
ณิชาคงคิดในจุดนี้ แล้วก็ให้อภัยเขาแล้ว
“ขาดทุนจริง” รดิศบ่นพึม “ณิเลยต้องลำบากอยู่คนเดียว”
“หนูเชื่อว่าเขาต้องเสียใจ” ณิชาบอก เหยียดแขนมาข้างหน้าคลายเมื่อย “แต่หนูไม่อยากให้ใครเสียใจหรอกนะ”
รดิศถอนหายใจกับนิสัยอันแสนขาดทุนของณิชา “แล้วทุกวันนี้ณิมีความสุขไหม” เขาถามฟาดเปรี้ยงลงไป ถ้าฉลาดกว่านี้สักหน่อยคงรู้ตัวว่าไม่ควรถาม เพราะมันเป็นคำถามของคนกะเอาชนะ คนที่กะจะฟาดคำแรงๆ ลงไปให้อีกฝ่ายตอบไม่ถูก สะอึก ร้องไห้ เจ็บปวด ถ้าเขาไม่ได้อยากทำร้ายผู้อื่น เขาไม่ควรถามคำนี้
แต่ลึกๆ ลงไปในใจมนุษย์นั้น เราชอบทำร้ายผู้อื่น
รดิศผู้น่าสงสาร เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเขาพูดอย่างนี้เพราะอยากให้ณิชาบอกว่าตัวเองเสียใจ เขาอยากให้เธอแสดงความอ่อนแอออกมา นั่นเพราะเขากลัวว่า หากเธอเก็บกดความอ่อนแอเอาไว้ในใจ เธอจะทรมาน เขาไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น นอกจากนี้...บางทีเขาอาจจะอยากให้เธอพูดสิ่งที่กดไว้ และพึ่งพาเขาสักนิดก็คงดี
แต่ณิชาไม่ได้อ่อนแออย่างนั้น รดิศน่ะอ่อนแอเลยคิดได้แค่นั้น ตรงข้ามกัน ณิชานั้นแข็งแกร่ง ยิ่งมีลูกยิ่งแข็งแกร่งขึ้น เธอไม่ได้จนต่อคำถามของรดิศ ไม่ได้ถูกทำให้สะอึกไป คำตอบของเธอต่างหากที่ทำให้รดิศนิ่งงัน
เธอวางสองมือประสานกันบนโต๊ะ เงยหน้าขึ้นสบตาเขาด้วยสีหน้าแจ่มใสและบอกเขาว่า “มีความสุขสิคะ”
รดิศมองตาเธอ และรู้ว่าเธอพูดจริง ความสุขของณิชาทำให้เขาสะอึก เขาพบกับสิ่งที่เขาไม่รู้จัก สิ่งที่ตัวเขาเองไม่เคยเป็น สิ่งที่งดงาม ล้ำค่า และทอแสง สิ่งที่มีความสุข สิ่งที่วางใจได้ว่าจะไม่ฆ่าตัวตายจากเขาไป
วินาทีหนึ่ง รดิศเกือบจะเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปคว้ามือเธอเอาไว้ แต่ณิชากลับสูดลมหายใจเข้าแล้วลุกขึ้น “ซื้อน้ำดีกว่า พี่เอาอะไรไหมคะ”
เธอก้มลงควานหากระเป๋าเงินขึ้นมาจากกระเป๋าถือ หยิบเงินออกมายี่สิบบาทและโยนกระเป๋าเงินลงบนโต๊ะอย่างไว้ใจเพื่อนชาย
“ไม่” รดิศพิมพำคอแห้งผาก ณิชาจึงเดินจากโต๊ะไปที่ร้านขายน้ำ
รดิศมองกระเป๋าเงินที่เปิดอ้าของณิชา ภาพที่สอดไว้เป็นภาพเธอกับชายหนุ่มคนหนึ่ง มันเป็นภาพคู่รัก เขาจ้องหน้าคนๆ นั้น อย่างที่บอก เขาจำชื่อคนไม่ค่อยเก่ง แถมเรื่องจำหน้าก็แย่ แต่รดิศก็จ้องหน้าคนๆ นั้น คนที่ณิชายังรัก คนที่ณิชาให้อภัย คนที่ทิ้งเธอไว้ คนที่ยังเด็กเกินกว่าจะรับอะไรๆ ไหว เขาจ้องภาพนั้นจนแทบจะปรุ
ณิชาเดินกลับมาที่โต๊ะ เมื่อเห็นว่าเขามองอะไรอยู่ก็หยิบกระเป๋าขึ้นปิด เธอนั่งลง หย่อนกระเป๋าเงินลงไปในกระเป๋าถือ จิบน้ำพลางมองหน้าเขาโดยไม่พูดอะไร รดิศรู้สึกเหมือนตัวเองทำผิด เขาสู้แววตาของณิชาไม่ได้ เขาสู้ความสว่างของณิชาไม่ได้
“พี่กลับแล้วดีกว่าวันนี้” ชายหนุ่มพูดแล้วก้มลงหยิบหนังสือที่วางกองไว้
“บางทีหนูก็คิดนะคะ ว่าพี่มองหนูเป็นคนยังไง หนูไม่สนใจหรอกว่าคนอื่นจะมองหนูยังไง ถ้าอีกหน่อยท้องใหญ่ขึ้น คนอื่นก็คงจะว่าหนูจะท้องมาเรียนหนูก็ไม่สนใจ หรือถ้าหนูดรอปไปคลอดลูก แล้วคนอื่นจะว่ายังไง หนูก็ไม่สนใจ เพราะถ้าสนใจจะอยู่ไม่ได้” เธอพูดระหว่างที่เขาเก็บข้าวของ “แต่หนูสงสัย พี่มองหนูยังไงนะ เพราะพี่ไม่เคยตัดสินหนูเหมือนใครๆ แถมพี่ยังใจดี”
เธอเมินมองไปทางอื่น ก้มหน้าเบี่ยงไปทางขวา เอ่ยว่า “ถ้าความจริงในใจพี่คิดติหนูเหมือนคนอื่น หนูคงเสียใจ”
รดิศรวบข้าวของไว้ในมือ เขามองณิชา แต่เมื่อเธอมองกลับมาเขากลับก้มลงมองโต๊ะ “พี่คิด เหมือนที่พี่พูดวันแรกๆ ที่เจอกันนั่นแหละ เธอเป็นคนเข้มแข็ง...แล้วก็น่าชื่นชมมากนะ”
แล้วก็สว่างไสว...เสียจนเขารู้สึกเหมือนตัวเองที่ได้แต่นั่งร้องไห้รอเวลาฝนซาคนนั้น เป็นเพียงแค่เงา ไม่ใช่คนจริงๆ
รดิศไม่ได้พูดต่อ เขาเดินจากไป ได้ยินเสียงณิชาเอ่ยมาข้างหลังว่า “ขอบคุณนะคะ บาย”
เขาหันหน้ากลับไป โบกมือให้ “บาย”