เสียงจักจั่นในป่าสน
นวนิยายขนาดสั้นรองชนะเลิศอันดับสอง รางวัลนักเขียนรุ่นเยาว์ เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 11 ประจำปี 2557
สารบัญและบทก่อนหน้านี้
8
พวกเรามันไม่มีที่ไป
ขอย้ำอีกครั้ง ที่พวกเราทุกคนต้องมารวมกันอยู่ในห้างสรรพสินค้า นั่นก็เป็นเพราะว่าเราไม่มีที่ไป
เหตุมันเกิดมาจากเมื่อวันศุกร์อันเป็นวันสุดท้ายของการเรียนการสอนเทอมนี้ อยู่ๆ ณิชาก็พูดขึ้นมาในคาบภาษาอังกฤษว่า “เสาร์นี้เป็นวันเกิดของหนูแหละ”
“เหรอ แล้วไปฉลองไหนล่ะ” รดิศถาม
“ไม่รู้สิพี่ หนูคงอยู่คนเดียว” เธอตอบ เสียงไม่ได้เศร้านัก เหมือนเป็นประโยคบอกเล่าธรรมดาๆ มากกว่า
รดิศหันไปมองเสี้ยวหน้าเธอ มันไม่ได้ดูเหงาไปกว่าปกติ แต่บางที ก่อนหน้านี้เธออาจมีใครที่คอยไปด้วยกันในวันสำคัญ ใครคนนั้นที่ทิ้งเธอไปแล้ว “ไปไหนกับพี่มั้ยล่ะ” เขาลองเอ่ยชวน ไม่ได้คิดจะเข้าแทนที่ แค่หวังจะให้เรื่องมันเศร้าน้อยลง อย่างน้อยถ้ามีเพื่อนอยู่คงดีกว่านั่งเหงาอยู่คนเดียว
“ไปไหนล่ะคะ” ณิชาถาม หันมามองเขา ดูดีใจ แววตาเป็นประกาย
“แล้วแต่สิ ค่อยคิดก็แล้วกัน” รดิศพูดเมื่ออาจารย์ชาวต่างชาติหันมากระดิกปากกาใส่พวกเขา และถามเป็นภาษาอังกฤษว่า “คุณสองคนเตรียมบทสนทนาเสร็จแล้วหรือ พร้อมสอบกลุ่มแรกมั้ย”
แต่สุดท้ายแม้จะให้เวลาคิดนานเท่าไหร่ ผลก็จบแบบเดียวกับคำตอบที่ให้ตอนที่ไม่คิด พวกเขาสองคนอ้อยอิ่งไร้สาระกันอยู่ในห้างสรรพสินค้า ไม่มีอะไรอยากซื้อในทะเลสิ่งของที่มีให้เลือกมากมาย ลองเดินหน้ามึนเข้าไปในร้านหนังสือประเภทสาขา แล้วมองหาหนังสือสักเล่มที่น่าจะชอบในกองหนังสือที่เหมือนกันไปหมด กลับออกมาอย่างผิดหวัง รู้สึกเหี่ยวแห้งลง จากนั้นก็ไปกินอาหารในร้านที่มีสาขางอกไปทั่วตามห้างแบบนี้ รดิศกับณิชาก็คงเหมือนคนอีกหลายล้านคนในประเทศนี้ที่ไม่รู้จะไปไหน นอกจากเดินใช้เวลาไปตามห้าง ซื้อของที่เหมือนกันไปหมด อ่านหนังสือที่เหมือนกันไปหมด กินอาหารที่เหมือนกันไปหมด ชีวิตที่เหมือนกันไปหมด
ถ้าจะให้รดิศนิยาม เขาคงบอกว่ามันช่างน่าเศร้า
เขาไม่รู้หรอกว่าจะพาณิชาไปไหน เมื่อถนนของเมืองกรุงเทพไม่มีทางเลือกมากนัก โลกใบนี้ก็ซ้ำเดิมและน่าเบื่อ
“บางทีเราอาจจะแค่อยากไปแม่น้ำแล้วดูแมลงปอสีแดง” ณิชาพูดออกมาขณะที่ทั้งสองต่อคิวร้านอาหารญี่ปุ่น
“พี่ไม่ได้เห็นแมลงปอสีแดงมานานแล้ว” รดิศพูดอย่างหดหู่ใจ
รดิศได้ติดต่อกับอรุษอีกครั้งหนึ่งเมื่อสองสามวันก่อน เขาคงเพิ่งจะกล้าโทรมาหลังจากรดิศโทรไปหาก่อน จุดประสงค์ของการโทรคืออยากถามว่าณิชาเป็นอย่างไรเมื่อใกล้วันเกิด อรุษไม่กล้าแม้แต่จะฝากคำทักทายมาให้ และถึงอีกฝ่ายจะฝาก รดิศก็ไม่กล้าบอกณิชาหรอก การพบกันระหว่างเขากับอรุษเป็นเหตุการณ์ที่ฝังอีกหนึ่งคำถามลงในตัวของรดิศ มันซ้อนทับเข้ากับคำถามของนักบุญโยเซฟ และดูท่าจะกลายเป็นอีกหนึ่งคำถามสลักลงในหัวอย่างที่ยากจะเอาออกได้ ดูท่ารดิศเป็นพวกจำคำถามได้แม่นยำกว่าคำตอบเสียละกระมัง
ตั้งแต่รู้ตัวว่าชอบณิชา เขาครุ่นคิดทบทวนหาคำตอบให้มันอยู่หลายครั้ง เขาจะเรียนจบในอีกไม่นานนี้ ยังไม่มีงานแน่นอน และถ้าหากเขามีลูกสักคน มันจะเหลือบ่ากว่าแรงไปไหมนะ ถ้าหากรดิศเป็นอรุษ เขาจะเลือกทิ้งทุกอย่างแล้วหนีไปรึเปล่า
แล้วผู้หญิงตรงหน้าเขานี่ล่ะ รดิศมองณิชาเปิดเมนูอาหารดู เธอไม่สามารถทิ้งอะไรไปได้ หรือถึงทำได้เธอก็เลือกจะไม่ทำ เธอยังไม่เรียนจบในเร็วๆ นี้ และไม่มีงานแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ยอมทิ้งทุกอย่าง
เธอทำได้ อรุษทำไม่ได้ แล้วถ้าเป็นเขา เป็นรดิศล่ะจะทำได้รึเปล่า
ถ้าหากว่าโยเซฟรักมารีย์มากพอ
รดิศไม่เชี่ยวชาญในเรื่องความรัก เขาไม่เคยมีความรักและมองว่าการรักใครสักคนเป็นปัญหา เขาเพิ่งรู้ตัวเมื่อไม่นานนี้ว่าชอบณิชา แล้วมันเป็นความรักที่มากพอหรือเปล่าล่ะ
ถ้าเขาฉลาดพอเขาจะไม่เอาปัญหามาใส่หัวตัวเอง ไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้มากกว่าความเป็นเพื่อน เพราะเขาเองก็อาจจะชอบณิชาแค่ไม่นานนักแล้วมันก็ซา บางทีเขาอาจไม่ได้มีความเป็นผู้ใหญ่มากพอจะเป็นพ่อใคร
พนักงานเชิญพวกเขาเข้าไปนั่งที่โต๊ะ ณิชาสั่งอาหาร รดิศเลียนแบบเธอเพราะเขาขี้เกียจคิด ระหว่างที่รอ เขาจ้องหน้าณิชา ไม่พูดอะไร หญิงสาวมองตอบกลับมา ท่าทางอยากให้พวกเขาสนทนาอะไรก็ได้
ความจริงรดิศมีเรื่องเป็นร้อยพันที่จะพูดได้ แต่ในสมองเขามีแต่คำถามของอรุษ เขามองหน้าณิชา เขารู้ว่าเขาสบายใจเวลาอยู่กับเธอ เขาคิดว่าเธอเข้มแข็งเสียจนไม่ว่าเขาจะเปราะร้าวแค่ไหน เธอก็จะเป็นที่พึ่งให้เขาได้ มันเป็นความรู้สึกที่ปกติผู้ชายไม่รู้สึกกัน ผู้ชายต้องเป็นเสาหลัก ต้องเป็นที่ให้ผู้หญิงพักพิง แต่รดิศไม่ได้คิดแบบนั้น เขารู้ดีว่าเขาเปราะเกินกว่าจะให้ใครเกาะพัน และนอกจากนั้น เขาต้องการใครสักคนที่เข้มแข็งเป็นแรงใจ
การอยู่ข้างๆ ณิชาผู้เข้าอกเข้าใจ อ่อนโยน และเข้มแข็งนั้น ให้ความรู้สึกที่รดิศไม่เคยได้รับจากใครที่ไหน เขาไม่เคยได้รับความอุ่นใจจากแม่ที่หัวใจแตกสลาย เขาไม่เคยกล้าจะทิ้งตัวลงไปบนพ่อ เพราะรู้ว่าตัวเองต่างหากที่ต้องเป็นเสาหลักให้พ่อพักพิง
สำหรับชีวิตของคนที่แตกหักอย่างรดิศ ผู้หญิงอย่างณิชาคือทุกอย่างที่ขาดหายไป
“คือพี่คะ...” ณิชาเอ่ยปากทำท่าจะชวนคุย
“ณิ คือพี่...” รดิศเอ่ยขัดออกไป “พี่เป็นคนไม่ชอบเรื่องความรักนะ แต่ว่า...”
รดิศไม่รู้ว่าตัวเองพูดแบบนั้นออกไปได้ยังไง แต่หลายๆ อย่างในใจผลักดันให้เขาพูดออกไปแบบนั้น เขารู้ทั้งรู้ว่ามันไม่มีเหตุผล รู้ว่ามันเป็นการทำให้ตัวเองลำบาก เขายังรู้จักณิชาได้ไม่นานเท่าไหร่ และมันอาจจะทำลายทุกอย่างที่เพิ่งจะเริ่มสร้างระหว่างเขากับณิชา แต่กระนั้นเขาก็พูดออกไปว่า
“ถ้าพี่จะขอรับเด็กในท้องณิเป็นลูก ณิจะว่ายังไง”
ณิชามองหน้าเขา เธอดูงงไปหมดว่าทำไมอยู่ๆ เขาก็พูดอะไรแบบนี้ขึ้นมา เธอทำท่าจะเริ่มพูดตั้งหลายครั้งก่อนจะปิดปากลงเหมือนเดิม แค่เห็นสีหน้าของเธอรดิศก็รู้แล้วว่าเธอกำลังจะปฏิเสธ
มันช่างโง่จริงๆ ที่พูดแบบนั้นออกไป
เขาคิดบ้าอะไรอยู่ถึงได้พูดแบบนั้น แต่ว่า... ที่เขาพูดมันก็เป็นเพราะ มันก็แค่เพราะ...
ไม่ใช่แค่เพราะเขาอยากจะหยิบยืมความเข้มแข็งของเธอเท่านั้น แต่เพราะเขาอยากจะเป็นความเข้มแข็งให้เธอด้วย
อันที่จริงเขาประทับใจวิถีชีวิตของณิชา เธอเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่ง แต่ก็เข้มแข็งและอ่อนโยนยิ่ง จนอดชื่นชมไม่ได้ เขาอยากดูแลณิชา เขาไม่อยากให้เธอต้องเผชิญหน้าอะไรๆ เพียงลำพัง
อีกหน่อยเธออาจจะลำบาก และเขาอาจจะไม่ได้มีกำลังจะช่วยเหลืออะไรมากนัก แต่มันอาจจะดีกว่าถ้าเธอจะมีคนคอยช่วยเพิ่มอีกสักคนนอกจากครอบครัวของเธอ
เขาแค่ไม่อยากให้เธอลำบาก และอยากให้เธอมีความสุข อยากอยู่ข้างๆ เพื่อทำอย่างนั้น อยากช่วยเหลือเธอทุกทางที่จะสามารถ
รดิศไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นคือความรักจริงๆ หรือเปล่า เป็นความรักที่มอบให้กันในแบบสามีภรรยาหรือไม่ หรือมันเป็นแค่ความชื่นชอบระหว่างพี่ชายน้องสาว มันจะเป็นอะไรเขาไม่รู้ เขาแค่คิดว่าอยากอยู่ข้างๆ เธอ
แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่คิดเหมือนกัน...
ณิชารวบรวมความคิดอยู่นานเอ่ยออกมา เธอจ้องหน้าเขา ดวงตากลมโตมีเค้ารอยของความเสียใจที่เข้าใจผิด “หนูไม่คิดว่าที่พี่ชวนออกมาวันนี้จะเป็นการเดท หนูคิดว่าพี่แค่อยากอยู่เป็นเพื่อน”
“พี่ก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น พี่แค่มาอยู่เป็นเพื่อน” รดิศตอบ ไม่รู้จะอธิบายสิ่งที่เขาคิดอย่างไรดี “พี่แค่...อยากช่วย ทั้งอยู่เป็นเพื่อน ทั้งเรื่องอื่นๆ”
“หนูไม่อยากรบกวนพี่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ” เป็นคำแรกที่เธอเอ่ย คำปฏิเสธ รดิศคาดเดาได้ แต่เขายังรอให้เธอพูดต่อมากกว่านี้ พูดความรู้สึกของเธอที
“หนูไม่รู้ว่าทำไมพี่ถึงพูดแบบนี้ แต่พี่ไม่จำเป็นต้องช่วยหนูขนาดนั้น”
รดิศหลับตาลง เขารู้สึกเหมือนมันค่อยๆ ร้าวจากบนลงล่าง เธอพูดถูก มันไม่ใช่เรื่องของเขาเลย
เขาพลาดแล้ว เขาพูดออกไปเร็วเกินไป สำหรับเรื่องที่หนักหนาเกินไป และเธอเลยไม่อาจเชื่อ เขาสองคนไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น รดิศรู้ดี
เมื่อวานนี้เป็นคาบสุดท้ายของการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ หลังจากสอบปลายภาค พวกเขาจะไม่เกี่ยวข้องกันอีก ณิชาจะหายหน้าไปจากมหาวิทยาลัย ไปคลอดลูกของเธอ เลี้ยงเด็กคนนั้น และชีวิตของเขาสองคนก็จะไม่โคจรมาเจอกันอีกตลอดกาล
นอกจากว่ารดิศจะกล้าพอจะยกหูโทรศัพท์ไปนัดเจอ เขาจะเป็นเพียงคุณลุงใจดีที่ผ่านมา จะได้เจอลูกของเธอตอนที่ยังจำความอะไรไม่ได้ เขาอาจไปหาเธอบ่อยๆ และหลังจากนั้นถึงจะเป็นเวลาที่เหมาะควรที่จะขอเป็นพ่อ ไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่ตอนที่ทุกอย่างยังเลื่อนลอย ในเวลาที่เธอยังไม่อาจเชื่อได้ว่าเขาจะรับผิดชอบอะไรได้
แต่จะตอนนี้หรือตอนไหน ความรู้สึกที่เขาตั้งใจไว้แล้วมันก็จะไม่เปลี่ยนแปลงนี่นา
“ไม่ใช่ว่าหนูรังเกียจพี่นะคะ พี่เป็นคนดีทุกอย่าง แต่เรายังไม่รู้จักกันมากพอเลย และหนูก็ไม่อยากให้พี่ต้องมาลำบากกับสิ่งที่พี่ไม่ได้ทำ” ณิชาเอ่ยเมื่อเห็นรดิศนิ่งไป
เขามองหน้าเธอ “แต่พี่ตัดสินใจแล้ว พี่ไม่เสียใจกับคำพูดของตัวเองหรอก”
“หนูไม่เคยคิดว่าจะพบคนที่ตัดสินใจเรื่องนี้ได้เลย มันเป็นการตัดสินใจที่บ้าคลั่งมาก บางทีพี่อาจจะแค่ยังไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร วันหนึ่งพี่จะเปลี่ยนการตัดสินใจ” ณิชาตอบ
เขารู้ว่าเธอพูดถูก คำพูดของเธอช่างโหดร้าย แต่สาเหตุที่รดิศชอบณิชาก็เพราะเขารู้ว่าเธอพูดเรื่องจริงอยู่เสมอ อยู่กับความจริงที่โหดร้ายอยู่เสมอโดยไม่เคยบ่นว่ามันโหดร้ายเกินไปเลยสักครั้ง
“พี่ชอบณินะ” เขาบอกออกไป รู้สึกว่ามันเป็นถ้อยคำที่ไม่มีพลัง ในยุคที่ความรักไร้ความขลัง คำว่าชอบอาจสลายได้ในชั่วข้ามคืน เป็นแค่คำพูดลอยๆ ที่ไม่อาจคัดง้างกับเหตุผลของเธอได้ ดีแต่ทำให้เขาดูเหมือนคนโง่
“ณิก็ชอบพี่แต่ไม่มากขนาดนั้นค่ะ พี่ชาย” เธอตอบและยิ้มอ่อนโยน คำพูดของเธอทิ่มแทงเขาอย่างเงียบงัน
รดิศก้มหน้า มันไม่เกี่ยวหรอกว่าเธอจะกลัวเขาเปลี่ยนใจ มันไม่ใช่หรอกว่าเธอกลัวเขาลำบาก ถ้าหากเขาเป็นผู้ชายที่เธอรัก เธอคงจะกอดเขาไว้ ร้องไห้ไม่ให้เขาไป ไม่กลัวแม้ว่าเขาจะลำบากหรือเปลี่ยนใจ เธอคงขอให้เขาอยู่กับเธอ แต่นี่เป็นเพราะเธอไม่รัก
รดิศไม่เคยมีความรักและไม่เคยถูกปฏิเสธ แต่เขากลับรู้สึกว่านี่มันช่างเป็นการปฏิเสธที่โหดร้ายที่สุดเท่าที่เขาจะเจอในชีวิตต่อไปข้างหน้า
“งั้นเหรอ งั้นก็ไม่เป็นไร ขอโทษที่พูดอะไรให้ลำบากใจ” เขาตอบ ในใจรู้สึกเจ็บแปลบที่ถูกปฏิเสธ ทั้งที่ก็เหมือนรู้อยู่แล้วว่าน่าจะถูกปฏิเสธ แขนขาของเขาสั่น รดิศก้มหน้าลง คิดว่าตัวเองคงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ไม่ไหวเอาซะเลย
เขาสองคนกินข้าวกันเงียบๆ ต่างคนต่างจ่ายเงินค่าอาหาร ระหว่างเดินทางกลับก็พูดกันเรื่องอื่นๆ เลื่อนลอย และไม่ได้ติดต่อกันอีกจนกระทั่งวันสอบปลายภาค
ในระหว่างสอบการสนทนาเป็นคู่ ณิชาพูดออกมาตอนจบการสอบว่า “I wish you a good life.” เหมือนเป็นคำลาจากของตัวละครในสถานการณ์สมมติ ฉับพลันนั้นรดิศตัวเย็นเฉียบขึ้นมา เขารู้ดีว่า ณิชาพูดกับเขา
และหลังจากนั้น เธอก็หายไป เขาโทรหาเธอหลายครั้ง แต่เธอไม่เคยรับสาย เขาติดต่อเธอไม่ได้อีก เธอคงทำแบบนี้กับอรุษด้วย เธอคงคิดว่าหากอรุษไม่ได้พบเธออีกคงจะสบายใจกว่า และสำหรับรดิศ ลืมเธอไปเสียจะง่ายกว่ามาก เพราะงั้นเธอจึงตัดการติดต่อกับเขาทั้งสองคน จากไปและปล่อยพวกเราไว้เพื่อให้ไปมีชีวิตที่ดี
อะไรคือชีวิตที่ดีกันหรือ ชีวิตที่ไม่ต้องเลี้ยงลูกของคนอื่น ชีวิตที่ไม่ต้องทำตัวเป็นนักบุญ ชีวิตที่ไม่มีสิทธิเลือกสิ่งที่ตัวเองอยากเลือก ชีวิตแบบคนธรรมดาๆ ที่ไม่มีจุดด่างพร้อยใด เหล่านี้ใช่ไหมคือชีวิตที่ดี
รดิศเชื่อว่าหากถามณิชาว่า ชีวิตของเธอเป็นชีวิตที่ดีไหม เธอจะตอบอย่างมั่นใจว่าใช่ ทั้งที่ถ้าพิจารณาตามที่ร่ายมา ชีวิตของเธอไม่น่าจะเป็นชีวิตที่ดีไปได้ แต่ถ้าเธอนิยามมันว่าชีวิตที่ดี แล้วทำไมทางที่เขาจะเลือกทางนี้ เธอถึงหาว่ามันไม่ดีล่ะ
“นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอก ปัญหาอยู่แค่ว่าเธอไม่เลือกแก” รดิศบอกกับตัวเองในวันหนึ่งขณะที่ยืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ เมื่อทำอะไรไม่ได้อีก เขาตัดสินใจจะลืมทุกอย่างและพยายามอยู่ต่อไป...
แบบที่พ่อเคยทำได้ ชายหนุ่มคิดและเดินออกจากห้องน้ำมาพบพ่อนั่งกินข้าวอยู่
“เปิดเทอมวันไหนหือ รดิศ” พ่อเอ่ยถาม รดิศมองพ่อ เสียงหึ่งอันคุ้นเคยดังระงม พ่อสวมเสื้อสีดำ และแล้วเขาก็ได้รู้...
วันนี้เป็นวันครบรอบการเดินผ่านรางรถไฟ
เขาตักข้าวมื้อแรกของวัน นั่งลงตรงข้ามพ่อ และเริ่มกินช้าๆ พ่อไม่พูดอะไร เขาไม่พูดอะไร ในที่สุดรดิศก็ตัดสินใจถามออกมา “พ่อครับ ขอโทษนะ ถ้าถามไปพ่ออาจจะเศร้า แต่ผมก็อยากรู้ว่าที่แม่เขาร้องไห้เสียใจเนี่ย เพราะเรื่องอะไรเหรอครับ หรือมันไม่มีหัวข้อเป็นพิเศษ”
พ่อมองหน้าเขา วางช้อนลงก่อนจะเริ่มเล่า “ตอนรดิศอายุสองสามขวบ แม่มีน้องอีกคนหนึ่งไง เด็กผู้หญิง แต่แกตายไปตอนคลอด ตั้งแต่นั้นแม่ก็เสียใจมากมาตลอด”
“น้องสาวของผมเหรอครับ” รดิศถาม งุนงง “ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
“ตอนเด็กรดิศก็รู้นี่ ยังเคยบอกเลยว่าอยากมีน้องสาว เสียดายน้อง”
“ผมอยากมีน้องสาว” รดิศถาม ยิ่งงงเข้าไปอีก
“ใช่ ตอนที่รู้ว่าน้องตายไป ลูกอยากได้น้องสาวมาตลอดเลยนะ พูดตลอดว่าเมื่อไหร่น้องจะมาอยู่กับเราอีก”
รดิศแปลกใจ เขาลืมเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้ว ชายหนุ่มวางช้อนลง คิดถึงเรื่องที่ตัวเองอยากได้น้องสาวมาตลอด คิดถึงเด็กผู้หญิงที่ตายจากไปคนนั้น คิดถึงแม่ที่เดินออกไปในวันฝนตก คิดถึงณิชา คิดถึงผู้หญิงสามคนที่มีความสำคัญกับชีวิตของเขา จากนั้นก็เงยหน้ามามองพ่อ
“อลิสเหรอครับ เด็กคนนั้นชื่ออลิสใช่ไหมครับ” เขาถาม
“ใช่ ให้คล้องกับลูกไง” พ่อพูดและยิ้มโรยๆ ไม่ได้ถามว่าทำไมเขาถึงรู้ รดิศมองพ่อ นึกสงสัยว่าชีวิตของพ่อจะหนักสักเพียงไหนหนอกับการเฝ้าดูแลแม่ที่จิตใจแตกสลาย และคงจะหนักมากกว่าเดิมอีกเล่า เมื่อต้องคอยโทษตนเองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ตาย
พ่อเอาตัวรอดมาได้อย่างไรนะ ผ่านเรื่องทั้งหมดนั้นมาได้อย่างไรกัน ลูกชายนึกสงสัย อีกครั้งที่ภาพพ่อหลังจากแม่ตายหวนกลับมาในคลองสำนึก เขาพอจะเดาออกว่าตอนนั้นพ่อคงแทบเอาตัวไม่รอด แต่ทำไมพ่อจึงทนมาได้ตั้งนานก่อนหน้านั้น ชายหนุ่มคิดว่ามันไม่น่าเป็นเรื่องสนุกเลย ที่จะต้องมาดูแลผู้หญิงที่แหลกสลายถึงเพียงนั้น
อยู่ๆ เขาก็หวนคิดถึงโยเซฟกับพระนางมารีย์ มันคงไม่ง่ายเลยเช่นกัน ที่จะอยู่เคียงข้างผู้หญิงอย่างมารีย์ และเลี้ยงลูกที่ไม่ใช่ของเราเอง
รดิศหลุบเปลือกตาลงครุ่นคิด ที่พ่อทนดูแลแม่มาได้ อาจเป็นเพราะพ่อรักแม่มากพอ เช่นเดียวกับที่โยเซฟรักพระนางมารีย์มากพอ
ความรักของพ่อ มันมากมายขนาดไหนกันนะ รดิศผู้อ่อนต่อความรักสงสัยว่าตัวเองคงไม่อาจจินตนาการภาพนั้นได้
“พ่อครับ ตอนพ่อบอกรักแม่ครั้งแรก พ่อพูดว่ายังไงครับ” เขาเอ่ยถามเชื่องช้า
พ่อขยับรอยยิ้ม นับเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่พ่อเขาพูดถึงแม่แล้วพ่อจะไม่ดูโศกเศร้า
“มันอาจจะเป็นคำพูดที่โบราณเกินไปของสมัยนี้” พ่อเอ่ยเรียบเรื่อย “พ่อบอกเขาว่า อยากจะขอดูแล ขอเป็นพ่อของลูกให้น่ะ”
รดิศมองหน้าพ่อ แปลกใจเพียงแว่บหนึ่ง จากนั้นก็เพียงแต่ยิ้มโรยๆ ออกมา ถามพ่อว่า “กับข้าวหมดแล้ว บ่ายนี้พ่ออยากกินข้าวขาหมูในตลาดมั้ย ผมจะออกไปซื้อให้ฮะ”
นวนิยายขนาดสั้นรองชนะเลิศอันดับสอง รางวัลนักเขียนรุ่นเยาว์ เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 11 ประจำปี 2557
สารบัญและบทก่อนหน้านี้
8
พวกเรามันไม่มีที่ไป
ขอย้ำอีกครั้ง ที่พวกเราทุกคนต้องมารวมกันอยู่ในห้างสรรพสินค้า นั่นก็เป็นเพราะว่าเราไม่มีที่ไป
เหตุมันเกิดมาจากเมื่อวันศุกร์อันเป็นวันสุดท้ายของการเรียนการสอนเทอมนี้ อยู่ๆ ณิชาก็พูดขึ้นมาในคาบภาษาอังกฤษว่า “เสาร์นี้เป็นวันเกิดของหนูแหละ”
“เหรอ แล้วไปฉลองไหนล่ะ” รดิศถาม
“ไม่รู้สิพี่ หนูคงอยู่คนเดียว” เธอตอบ เสียงไม่ได้เศร้านัก เหมือนเป็นประโยคบอกเล่าธรรมดาๆ มากกว่า
รดิศหันไปมองเสี้ยวหน้าเธอ มันไม่ได้ดูเหงาไปกว่าปกติ แต่บางที ก่อนหน้านี้เธออาจมีใครที่คอยไปด้วยกันในวันสำคัญ ใครคนนั้นที่ทิ้งเธอไปแล้ว “ไปไหนกับพี่มั้ยล่ะ” เขาลองเอ่ยชวน ไม่ได้คิดจะเข้าแทนที่ แค่หวังจะให้เรื่องมันเศร้าน้อยลง อย่างน้อยถ้ามีเพื่อนอยู่คงดีกว่านั่งเหงาอยู่คนเดียว
“ไปไหนล่ะคะ” ณิชาถาม หันมามองเขา ดูดีใจ แววตาเป็นประกาย
“แล้วแต่สิ ค่อยคิดก็แล้วกัน” รดิศพูดเมื่ออาจารย์ชาวต่างชาติหันมากระดิกปากกาใส่พวกเขา และถามเป็นภาษาอังกฤษว่า “คุณสองคนเตรียมบทสนทนาเสร็จแล้วหรือ พร้อมสอบกลุ่มแรกมั้ย”
แต่สุดท้ายแม้จะให้เวลาคิดนานเท่าไหร่ ผลก็จบแบบเดียวกับคำตอบที่ให้ตอนที่ไม่คิด พวกเขาสองคนอ้อยอิ่งไร้สาระกันอยู่ในห้างสรรพสินค้า ไม่มีอะไรอยากซื้อในทะเลสิ่งของที่มีให้เลือกมากมาย ลองเดินหน้ามึนเข้าไปในร้านหนังสือประเภทสาขา แล้วมองหาหนังสือสักเล่มที่น่าจะชอบในกองหนังสือที่เหมือนกันไปหมด กลับออกมาอย่างผิดหวัง รู้สึกเหี่ยวแห้งลง จากนั้นก็ไปกินอาหารในร้านที่มีสาขางอกไปทั่วตามห้างแบบนี้ รดิศกับณิชาก็คงเหมือนคนอีกหลายล้านคนในประเทศนี้ที่ไม่รู้จะไปไหน นอกจากเดินใช้เวลาไปตามห้าง ซื้อของที่เหมือนกันไปหมด อ่านหนังสือที่เหมือนกันไปหมด กินอาหารที่เหมือนกันไปหมด ชีวิตที่เหมือนกันไปหมด
ถ้าจะให้รดิศนิยาม เขาคงบอกว่ามันช่างน่าเศร้า
เขาไม่รู้หรอกว่าจะพาณิชาไปไหน เมื่อถนนของเมืองกรุงเทพไม่มีทางเลือกมากนัก โลกใบนี้ก็ซ้ำเดิมและน่าเบื่อ
“บางทีเราอาจจะแค่อยากไปแม่น้ำแล้วดูแมลงปอสีแดง” ณิชาพูดออกมาขณะที่ทั้งสองต่อคิวร้านอาหารญี่ปุ่น
“พี่ไม่ได้เห็นแมลงปอสีแดงมานานแล้ว” รดิศพูดอย่างหดหู่ใจ
รดิศได้ติดต่อกับอรุษอีกครั้งหนึ่งเมื่อสองสามวันก่อน เขาคงเพิ่งจะกล้าโทรมาหลังจากรดิศโทรไปหาก่อน จุดประสงค์ของการโทรคืออยากถามว่าณิชาเป็นอย่างไรเมื่อใกล้วันเกิด อรุษไม่กล้าแม้แต่จะฝากคำทักทายมาให้ และถึงอีกฝ่ายจะฝาก รดิศก็ไม่กล้าบอกณิชาหรอก การพบกันระหว่างเขากับอรุษเป็นเหตุการณ์ที่ฝังอีกหนึ่งคำถามลงในตัวของรดิศ มันซ้อนทับเข้ากับคำถามของนักบุญโยเซฟ และดูท่าจะกลายเป็นอีกหนึ่งคำถามสลักลงในหัวอย่างที่ยากจะเอาออกได้ ดูท่ารดิศเป็นพวกจำคำถามได้แม่นยำกว่าคำตอบเสียละกระมัง
ตั้งแต่รู้ตัวว่าชอบณิชา เขาครุ่นคิดทบทวนหาคำตอบให้มันอยู่หลายครั้ง เขาจะเรียนจบในอีกไม่นานนี้ ยังไม่มีงานแน่นอน และถ้าหากเขามีลูกสักคน มันจะเหลือบ่ากว่าแรงไปไหมนะ ถ้าหากรดิศเป็นอรุษ เขาจะเลือกทิ้งทุกอย่างแล้วหนีไปรึเปล่า
แล้วผู้หญิงตรงหน้าเขานี่ล่ะ รดิศมองณิชาเปิดเมนูอาหารดู เธอไม่สามารถทิ้งอะไรไปได้ หรือถึงทำได้เธอก็เลือกจะไม่ทำ เธอยังไม่เรียนจบในเร็วๆ นี้ และไม่มีงานแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ยอมทิ้งทุกอย่าง
เธอทำได้ อรุษทำไม่ได้ แล้วถ้าเป็นเขา เป็นรดิศล่ะจะทำได้รึเปล่า
ถ้าหากว่าโยเซฟรักมารีย์มากพอ
รดิศไม่เชี่ยวชาญในเรื่องความรัก เขาไม่เคยมีความรักและมองว่าการรักใครสักคนเป็นปัญหา เขาเพิ่งรู้ตัวเมื่อไม่นานนี้ว่าชอบณิชา แล้วมันเป็นความรักที่มากพอหรือเปล่าล่ะ
ถ้าเขาฉลาดพอเขาจะไม่เอาปัญหามาใส่หัวตัวเอง ไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้มากกว่าความเป็นเพื่อน เพราะเขาเองก็อาจจะชอบณิชาแค่ไม่นานนักแล้วมันก็ซา บางทีเขาอาจไม่ได้มีความเป็นผู้ใหญ่มากพอจะเป็นพ่อใคร
พนักงานเชิญพวกเขาเข้าไปนั่งที่โต๊ะ ณิชาสั่งอาหาร รดิศเลียนแบบเธอเพราะเขาขี้เกียจคิด ระหว่างที่รอ เขาจ้องหน้าณิชา ไม่พูดอะไร หญิงสาวมองตอบกลับมา ท่าทางอยากให้พวกเขาสนทนาอะไรก็ได้
ความจริงรดิศมีเรื่องเป็นร้อยพันที่จะพูดได้ แต่ในสมองเขามีแต่คำถามของอรุษ เขามองหน้าณิชา เขารู้ว่าเขาสบายใจเวลาอยู่กับเธอ เขาคิดว่าเธอเข้มแข็งเสียจนไม่ว่าเขาจะเปราะร้าวแค่ไหน เธอก็จะเป็นที่พึ่งให้เขาได้ มันเป็นความรู้สึกที่ปกติผู้ชายไม่รู้สึกกัน ผู้ชายต้องเป็นเสาหลัก ต้องเป็นที่ให้ผู้หญิงพักพิง แต่รดิศไม่ได้คิดแบบนั้น เขารู้ดีว่าเขาเปราะเกินกว่าจะให้ใครเกาะพัน และนอกจากนั้น เขาต้องการใครสักคนที่เข้มแข็งเป็นแรงใจ
การอยู่ข้างๆ ณิชาผู้เข้าอกเข้าใจ อ่อนโยน และเข้มแข็งนั้น ให้ความรู้สึกที่รดิศไม่เคยได้รับจากใครที่ไหน เขาไม่เคยได้รับความอุ่นใจจากแม่ที่หัวใจแตกสลาย เขาไม่เคยกล้าจะทิ้งตัวลงไปบนพ่อ เพราะรู้ว่าตัวเองต่างหากที่ต้องเป็นเสาหลักให้พ่อพักพิง
สำหรับชีวิตของคนที่แตกหักอย่างรดิศ ผู้หญิงอย่างณิชาคือทุกอย่างที่ขาดหายไป
“คือพี่คะ...” ณิชาเอ่ยปากทำท่าจะชวนคุย
“ณิ คือพี่...” รดิศเอ่ยขัดออกไป “พี่เป็นคนไม่ชอบเรื่องความรักนะ แต่ว่า...”
รดิศไม่รู้ว่าตัวเองพูดแบบนั้นออกไปได้ยังไง แต่หลายๆ อย่างในใจผลักดันให้เขาพูดออกไปแบบนั้น เขารู้ทั้งรู้ว่ามันไม่มีเหตุผล รู้ว่ามันเป็นการทำให้ตัวเองลำบาก เขายังรู้จักณิชาได้ไม่นานเท่าไหร่ และมันอาจจะทำลายทุกอย่างที่เพิ่งจะเริ่มสร้างระหว่างเขากับณิชา แต่กระนั้นเขาก็พูดออกไปว่า
“ถ้าพี่จะขอรับเด็กในท้องณิเป็นลูก ณิจะว่ายังไง”
ณิชามองหน้าเขา เธอดูงงไปหมดว่าทำไมอยู่ๆ เขาก็พูดอะไรแบบนี้ขึ้นมา เธอทำท่าจะเริ่มพูดตั้งหลายครั้งก่อนจะปิดปากลงเหมือนเดิม แค่เห็นสีหน้าของเธอรดิศก็รู้แล้วว่าเธอกำลังจะปฏิเสธ
มันช่างโง่จริงๆ ที่พูดแบบนั้นออกไป
เขาคิดบ้าอะไรอยู่ถึงได้พูดแบบนั้น แต่ว่า... ที่เขาพูดมันก็เป็นเพราะ มันก็แค่เพราะ...
ไม่ใช่แค่เพราะเขาอยากจะหยิบยืมความเข้มแข็งของเธอเท่านั้น แต่เพราะเขาอยากจะเป็นความเข้มแข็งให้เธอด้วย
อันที่จริงเขาประทับใจวิถีชีวิตของณิชา เธอเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่ง แต่ก็เข้มแข็งและอ่อนโยนยิ่ง จนอดชื่นชมไม่ได้ เขาอยากดูแลณิชา เขาไม่อยากให้เธอต้องเผชิญหน้าอะไรๆ เพียงลำพัง
อีกหน่อยเธออาจจะลำบาก และเขาอาจจะไม่ได้มีกำลังจะช่วยเหลืออะไรมากนัก แต่มันอาจจะดีกว่าถ้าเธอจะมีคนคอยช่วยเพิ่มอีกสักคนนอกจากครอบครัวของเธอ
เขาแค่ไม่อยากให้เธอลำบาก และอยากให้เธอมีความสุข อยากอยู่ข้างๆ เพื่อทำอย่างนั้น อยากช่วยเหลือเธอทุกทางที่จะสามารถ
รดิศไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นคือความรักจริงๆ หรือเปล่า เป็นความรักที่มอบให้กันในแบบสามีภรรยาหรือไม่ หรือมันเป็นแค่ความชื่นชอบระหว่างพี่ชายน้องสาว มันจะเป็นอะไรเขาไม่รู้ เขาแค่คิดว่าอยากอยู่ข้างๆ เธอ
แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่คิดเหมือนกัน...
ณิชารวบรวมความคิดอยู่นานเอ่ยออกมา เธอจ้องหน้าเขา ดวงตากลมโตมีเค้ารอยของความเสียใจที่เข้าใจผิด “หนูไม่คิดว่าที่พี่ชวนออกมาวันนี้จะเป็นการเดท หนูคิดว่าพี่แค่อยากอยู่เป็นเพื่อน”
“พี่ก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น พี่แค่มาอยู่เป็นเพื่อน” รดิศตอบ ไม่รู้จะอธิบายสิ่งที่เขาคิดอย่างไรดี “พี่แค่...อยากช่วย ทั้งอยู่เป็นเพื่อน ทั้งเรื่องอื่นๆ”
“หนูไม่อยากรบกวนพี่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ” เป็นคำแรกที่เธอเอ่ย คำปฏิเสธ รดิศคาดเดาได้ แต่เขายังรอให้เธอพูดต่อมากกว่านี้ พูดความรู้สึกของเธอที
“หนูไม่รู้ว่าทำไมพี่ถึงพูดแบบนี้ แต่พี่ไม่จำเป็นต้องช่วยหนูขนาดนั้น”
รดิศหลับตาลง เขารู้สึกเหมือนมันค่อยๆ ร้าวจากบนลงล่าง เธอพูดถูก มันไม่ใช่เรื่องของเขาเลย
เขาพลาดแล้ว เขาพูดออกไปเร็วเกินไป สำหรับเรื่องที่หนักหนาเกินไป และเธอเลยไม่อาจเชื่อ เขาสองคนไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น รดิศรู้ดี
เมื่อวานนี้เป็นคาบสุดท้ายของการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ หลังจากสอบปลายภาค พวกเขาจะไม่เกี่ยวข้องกันอีก ณิชาจะหายหน้าไปจากมหาวิทยาลัย ไปคลอดลูกของเธอ เลี้ยงเด็กคนนั้น และชีวิตของเขาสองคนก็จะไม่โคจรมาเจอกันอีกตลอดกาล
นอกจากว่ารดิศจะกล้าพอจะยกหูโทรศัพท์ไปนัดเจอ เขาจะเป็นเพียงคุณลุงใจดีที่ผ่านมา จะได้เจอลูกของเธอตอนที่ยังจำความอะไรไม่ได้ เขาอาจไปหาเธอบ่อยๆ และหลังจากนั้นถึงจะเป็นเวลาที่เหมาะควรที่จะขอเป็นพ่อ ไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่ตอนที่ทุกอย่างยังเลื่อนลอย ในเวลาที่เธอยังไม่อาจเชื่อได้ว่าเขาจะรับผิดชอบอะไรได้
แต่จะตอนนี้หรือตอนไหน ความรู้สึกที่เขาตั้งใจไว้แล้วมันก็จะไม่เปลี่ยนแปลงนี่นา
“ไม่ใช่ว่าหนูรังเกียจพี่นะคะ พี่เป็นคนดีทุกอย่าง แต่เรายังไม่รู้จักกันมากพอเลย และหนูก็ไม่อยากให้พี่ต้องมาลำบากกับสิ่งที่พี่ไม่ได้ทำ” ณิชาเอ่ยเมื่อเห็นรดิศนิ่งไป
เขามองหน้าเธอ “แต่พี่ตัดสินใจแล้ว พี่ไม่เสียใจกับคำพูดของตัวเองหรอก”
“หนูไม่เคยคิดว่าจะพบคนที่ตัดสินใจเรื่องนี้ได้เลย มันเป็นการตัดสินใจที่บ้าคลั่งมาก บางทีพี่อาจจะแค่ยังไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร วันหนึ่งพี่จะเปลี่ยนการตัดสินใจ” ณิชาตอบ
เขารู้ว่าเธอพูดถูก คำพูดของเธอช่างโหดร้าย แต่สาเหตุที่รดิศชอบณิชาก็เพราะเขารู้ว่าเธอพูดเรื่องจริงอยู่เสมอ อยู่กับความจริงที่โหดร้ายอยู่เสมอโดยไม่เคยบ่นว่ามันโหดร้ายเกินไปเลยสักครั้ง
“พี่ชอบณินะ” เขาบอกออกไป รู้สึกว่ามันเป็นถ้อยคำที่ไม่มีพลัง ในยุคที่ความรักไร้ความขลัง คำว่าชอบอาจสลายได้ในชั่วข้ามคืน เป็นแค่คำพูดลอยๆ ที่ไม่อาจคัดง้างกับเหตุผลของเธอได้ ดีแต่ทำให้เขาดูเหมือนคนโง่
“ณิก็ชอบพี่แต่ไม่มากขนาดนั้นค่ะ พี่ชาย” เธอตอบและยิ้มอ่อนโยน คำพูดของเธอทิ่มแทงเขาอย่างเงียบงัน
รดิศก้มหน้า มันไม่เกี่ยวหรอกว่าเธอจะกลัวเขาเปลี่ยนใจ มันไม่ใช่หรอกว่าเธอกลัวเขาลำบาก ถ้าหากเขาเป็นผู้ชายที่เธอรัก เธอคงจะกอดเขาไว้ ร้องไห้ไม่ให้เขาไป ไม่กลัวแม้ว่าเขาจะลำบากหรือเปลี่ยนใจ เธอคงขอให้เขาอยู่กับเธอ แต่นี่เป็นเพราะเธอไม่รัก
รดิศไม่เคยมีความรักและไม่เคยถูกปฏิเสธ แต่เขากลับรู้สึกว่านี่มันช่างเป็นการปฏิเสธที่โหดร้ายที่สุดเท่าที่เขาจะเจอในชีวิตต่อไปข้างหน้า
“งั้นเหรอ งั้นก็ไม่เป็นไร ขอโทษที่พูดอะไรให้ลำบากใจ” เขาตอบ ในใจรู้สึกเจ็บแปลบที่ถูกปฏิเสธ ทั้งที่ก็เหมือนรู้อยู่แล้วว่าน่าจะถูกปฏิเสธ แขนขาของเขาสั่น รดิศก้มหน้าลง คิดว่าตัวเองคงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ไม่ไหวเอาซะเลย
เขาสองคนกินข้าวกันเงียบๆ ต่างคนต่างจ่ายเงินค่าอาหาร ระหว่างเดินทางกลับก็พูดกันเรื่องอื่นๆ เลื่อนลอย และไม่ได้ติดต่อกันอีกจนกระทั่งวันสอบปลายภาค
ในระหว่างสอบการสนทนาเป็นคู่ ณิชาพูดออกมาตอนจบการสอบว่า “I wish you a good life.” เหมือนเป็นคำลาจากของตัวละครในสถานการณ์สมมติ ฉับพลันนั้นรดิศตัวเย็นเฉียบขึ้นมา เขารู้ดีว่า ณิชาพูดกับเขา
และหลังจากนั้น เธอก็หายไป เขาโทรหาเธอหลายครั้ง แต่เธอไม่เคยรับสาย เขาติดต่อเธอไม่ได้อีก เธอคงทำแบบนี้กับอรุษด้วย เธอคงคิดว่าหากอรุษไม่ได้พบเธออีกคงจะสบายใจกว่า และสำหรับรดิศ ลืมเธอไปเสียจะง่ายกว่ามาก เพราะงั้นเธอจึงตัดการติดต่อกับเขาทั้งสองคน จากไปและปล่อยพวกเราไว้เพื่อให้ไปมีชีวิตที่ดี
อะไรคือชีวิตที่ดีกันหรือ ชีวิตที่ไม่ต้องเลี้ยงลูกของคนอื่น ชีวิตที่ไม่ต้องทำตัวเป็นนักบุญ ชีวิตที่ไม่มีสิทธิเลือกสิ่งที่ตัวเองอยากเลือก ชีวิตแบบคนธรรมดาๆ ที่ไม่มีจุดด่างพร้อยใด เหล่านี้ใช่ไหมคือชีวิตที่ดี
รดิศเชื่อว่าหากถามณิชาว่า ชีวิตของเธอเป็นชีวิตที่ดีไหม เธอจะตอบอย่างมั่นใจว่าใช่ ทั้งที่ถ้าพิจารณาตามที่ร่ายมา ชีวิตของเธอไม่น่าจะเป็นชีวิตที่ดีไปได้ แต่ถ้าเธอนิยามมันว่าชีวิตที่ดี แล้วทำไมทางที่เขาจะเลือกทางนี้ เธอถึงหาว่ามันไม่ดีล่ะ
“นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอก ปัญหาอยู่แค่ว่าเธอไม่เลือกแก” รดิศบอกกับตัวเองในวันหนึ่งขณะที่ยืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ เมื่อทำอะไรไม่ได้อีก เขาตัดสินใจจะลืมทุกอย่างและพยายามอยู่ต่อไป...
แบบที่พ่อเคยทำได้ ชายหนุ่มคิดและเดินออกจากห้องน้ำมาพบพ่อนั่งกินข้าวอยู่
“เปิดเทอมวันไหนหือ รดิศ” พ่อเอ่ยถาม รดิศมองพ่อ เสียงหึ่งอันคุ้นเคยดังระงม พ่อสวมเสื้อสีดำ และแล้วเขาก็ได้รู้...
วันนี้เป็นวันครบรอบการเดินผ่านรางรถไฟ
เขาตักข้าวมื้อแรกของวัน นั่งลงตรงข้ามพ่อ และเริ่มกินช้าๆ พ่อไม่พูดอะไร เขาไม่พูดอะไร ในที่สุดรดิศก็ตัดสินใจถามออกมา “พ่อครับ ขอโทษนะ ถ้าถามไปพ่ออาจจะเศร้า แต่ผมก็อยากรู้ว่าที่แม่เขาร้องไห้เสียใจเนี่ย เพราะเรื่องอะไรเหรอครับ หรือมันไม่มีหัวข้อเป็นพิเศษ”
พ่อมองหน้าเขา วางช้อนลงก่อนจะเริ่มเล่า “ตอนรดิศอายุสองสามขวบ แม่มีน้องอีกคนหนึ่งไง เด็กผู้หญิง แต่แกตายไปตอนคลอด ตั้งแต่นั้นแม่ก็เสียใจมากมาตลอด”
“น้องสาวของผมเหรอครับ” รดิศถาม งุนงง “ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
“ตอนเด็กรดิศก็รู้นี่ ยังเคยบอกเลยว่าอยากมีน้องสาว เสียดายน้อง”
“ผมอยากมีน้องสาว” รดิศถาม ยิ่งงงเข้าไปอีก
“ใช่ ตอนที่รู้ว่าน้องตายไป ลูกอยากได้น้องสาวมาตลอดเลยนะ พูดตลอดว่าเมื่อไหร่น้องจะมาอยู่กับเราอีก”
รดิศแปลกใจ เขาลืมเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้ว ชายหนุ่มวางช้อนลง คิดถึงเรื่องที่ตัวเองอยากได้น้องสาวมาตลอด คิดถึงเด็กผู้หญิงที่ตายจากไปคนนั้น คิดถึงแม่ที่เดินออกไปในวันฝนตก คิดถึงณิชา คิดถึงผู้หญิงสามคนที่มีความสำคัญกับชีวิตของเขา จากนั้นก็เงยหน้ามามองพ่อ
“อลิสเหรอครับ เด็กคนนั้นชื่ออลิสใช่ไหมครับ” เขาถาม
“ใช่ ให้คล้องกับลูกไง” พ่อพูดและยิ้มโรยๆ ไม่ได้ถามว่าทำไมเขาถึงรู้ รดิศมองพ่อ นึกสงสัยว่าชีวิตของพ่อจะหนักสักเพียงไหนหนอกับการเฝ้าดูแลแม่ที่จิตใจแตกสลาย และคงจะหนักมากกว่าเดิมอีกเล่า เมื่อต้องคอยโทษตนเองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ตาย
พ่อเอาตัวรอดมาได้อย่างไรนะ ผ่านเรื่องทั้งหมดนั้นมาได้อย่างไรกัน ลูกชายนึกสงสัย อีกครั้งที่ภาพพ่อหลังจากแม่ตายหวนกลับมาในคลองสำนึก เขาพอจะเดาออกว่าตอนนั้นพ่อคงแทบเอาตัวไม่รอด แต่ทำไมพ่อจึงทนมาได้ตั้งนานก่อนหน้านั้น ชายหนุ่มคิดว่ามันไม่น่าเป็นเรื่องสนุกเลย ที่จะต้องมาดูแลผู้หญิงที่แหลกสลายถึงเพียงนั้น
อยู่ๆ เขาก็หวนคิดถึงโยเซฟกับพระนางมารีย์ มันคงไม่ง่ายเลยเช่นกัน ที่จะอยู่เคียงข้างผู้หญิงอย่างมารีย์ และเลี้ยงลูกที่ไม่ใช่ของเราเอง
รดิศหลุบเปลือกตาลงครุ่นคิด ที่พ่อทนดูแลแม่มาได้ อาจเป็นเพราะพ่อรักแม่มากพอ เช่นเดียวกับที่โยเซฟรักพระนางมารีย์มากพอ
ความรักของพ่อ มันมากมายขนาดไหนกันนะ รดิศผู้อ่อนต่อความรักสงสัยว่าตัวเองคงไม่อาจจินตนาการภาพนั้นได้
“พ่อครับ ตอนพ่อบอกรักแม่ครั้งแรก พ่อพูดว่ายังไงครับ” เขาเอ่ยถามเชื่องช้า
พ่อขยับรอยยิ้ม นับเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่พ่อเขาพูดถึงแม่แล้วพ่อจะไม่ดูโศกเศร้า
“มันอาจจะเป็นคำพูดที่โบราณเกินไปของสมัยนี้” พ่อเอ่ยเรียบเรื่อย “พ่อบอกเขาว่า อยากจะขอดูแล ขอเป็นพ่อของลูกให้น่ะ”
รดิศมองหน้าพ่อ แปลกใจเพียงแว่บหนึ่ง จากนั้นก็เพียงแต่ยิ้มโรยๆ ออกมา ถามพ่อว่า “กับข้าวหมดแล้ว บ่ายนี้พ่ออยากกินข้าวขาหมูในตลาดมั้ย ผมจะออกไปซื้อให้ฮะ”