เสียงจักจั่นในป่าสน
นวนิยายขนาดสั้นรองชนะเลิศอันดับสอง รางวัลนักเขียนรุ่นเยาว์ เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 11 ประจำปี 2557
สารบัญและบทก่อนหน้านี้
4
รดิศจำอะไรไม่ได้มากนักในเช้าหลังจากแม่ตาย
เขาจำได้เลาๆ ว่าพ่อออกจากบ้านไปตามหาแม่ทั้งคืน หลังจากที่แม่ไม่กลับมาในอีกครึ่งชั่วโมงให้หลัง พ่อดูเหมือนจะมีสติมากขึ้น และออกเดินตามหาแม่ในละแวกบ้าน “รดิศเฝ้าบ้านนะ อย่าออกไปไหนนะลูก” พ่อลูบหัวเขาแล้วฝ่าสายฝนเดินออกไป ไม่นานก็กลับมามาบ้าน “แม่กลับมามั้ย” คือคำถามแรกเมื่อเห็นเขาเฝ้ารออยู่ที่ประตู เด็กชายส่ายหัว พ่อก็ส่ายหัว และออกตามหาอีกครั้ง เมื่อไม่เจอ ขอบเขตการค้นพาก็ไกลออกไป ไกลออกไป...
ตอนสามทุ่มพ่อส่งเขาเข้านอน “ไม่เป็นไรนะลูก นอนซะ เดี๋ยวพ่อจะออกไปหาแม่” รดิศจำได้ว่าตัวเองมองพ่อออกจากห้องไป ประตูห้องนอนปิดลง และเขาก็ปีนจากเตียงไปดูที่หน้าต่าง ร่างของพ่อค่อยๆ ลับหายไป รดิศรอแล้วรอเล่าพ่อก็ไม่กลับมา จนกระทั่งเขาหลับไปข้างหน้าต่างนั้นเอง
ถ้าหากไม่มีใครกลับมาอีกแล้วล่ะ ดูเหมือนในคืนนั้น นี่จะเป็นคำถามที่วนเวียนอยู่ในความฝันของเขาจนกระทั่งตะวันมา
สำหรับรดิศ มันคือคำถามที่น่ากลัวที่สุดตั้งแต่เขาเกิดมา แต่โชคดีที่พ่อกลับมาในตอนเช้า แต่โชคร้ายที่แม่ไม่ได้กลับมาด้วย...
ไม่รู้ว่าพ่อไปเจอแม่ได้อย่างไร หรือในสภาพไหน พ่อเห็นแม่ที่ราง หรือหลังจากรถกู้ภัยมาพาแม่ไปโรงพยาบาลแล้ว ใครบอกพ่อให้ไปไกลถึงรางรถไฟ หรือพ่อออกเดินเช็คตามโรงพยาบาลไปแล้วกี่แห่งในคืนนั้น รดิศไม่เคยถาม เขาไม่กล้าถามเพราะไม่กล้าแตะต้องบาดแผลของพ่อ ผลก็คือเขาไม่เคยรู้
สิ่งเดียวที่เขารู้คือสิ่งที่เขาเห็น หลังจากนั้นพ่อสูญเสียความสามารถในการเป็นมนุษย์ที่ดีไปช่วงระยะหนึ่ง รดิศจึงถูกส่งไปอยู่กับป้า ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นตอนออกจากบ้านเป็นภาพพ่อกวาดข้าวของบนชั้นให้ร่วงครืนลงมาแล้วกรีดร้อง จากนั้นก็กุมหัวตัวเองร้องไห้
พ่อโทษตัวเองว่าเป็นคนทำให้แม่ตายไป และมันก็ปฏิเสธยากว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่รดิศไม่ยอมให้ใครโทษพ่อแม้แต่ตัวเขาเอง เขาจะปกป้องพ่อทุกครั้งที่มีใครพูดอะไรก็ตาม แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถปกป้องพ่อจากตัวพ่อเองได้
สามเดือนหลังจากนั้นพ่อไปรับเขากลับมา พ่อดูคล้ายคนเดิมแต่เงียบขรึมลง เงียบยิ่งกว่าตอนที่แม่ร้องไห้บ่อยที่สุด เงียบจนเหมือนป่าช้า แต่รดิศรู้สึกคล้ายได้ยินเสียงหึ่งเหมือนจักจั่นอยู่ตลอดเวลา เสียงระงมแห่งความเศร้าจากในตัวพ่อดังลั่น
เวลารักษาทุกอย่าง มันช่วยดับเสียงจักจั่นในป่าสน หลายปีผันผ่าน ในที่สุดพ่อก็กลับมาเป็นปกติ เป็นพ่อคนเดิมที่รดิศจำได้ อาจจะร่าเริงกว่าคนเดิมด้วยซ้ำ พ่อที่อยู่กับแม่มีใบหน้าทุกข์ใจเสมอ ใบหน้าของคนที่ไม่รู้จะช่วยเหลือครอบครัวอย่างไรดี แต่ในยามนี้พ่อกลับดูร่าเริงมากขึ้น กระนั้นพ่อก็ยังไม่เคยลืมเลือนสิ่งที่เกิด ทุกคราที่มีอะไรเกี่ยวกับแม่เข้ามาสะกิด ใบหน้าของพ่อจะหมองคล้ำลงไปถนัดใจ ภายในคืนเดียวพ่ออาจดูแก่ลงหลายปี และนอกเหนือจากนั้น พ่อช่างดู...โศกเศร้า และรดิศก็จะรู้สึกคล้ายได้ยินเสียงจักจั่นร้องอีกครั้ง พวกมันอยู่ในตัวพ่อ พากันร้องระงม
บางคราวมันก็เหมือนเสียงของฝน...
อยู่กับพ่อมาหลายต่อหลายปี รดิศรู้ดีถึงสรรพสำเนียงของคนสิ้นหวัง อาลัย
เขาเคยคิดว่าจะต้องได้ยินเสียงแบบเดียวกันนี้จากในตัวณิชา แต่ไม่เลย เขาไม่เคยได้ยินเธอพูดจาน่าหดหู่ ยิ่งวันหน้าท้องของณิชายิ่งขยายขึ้น ทีละน้อยๆ เชื่องช้า แต่แววตาของเธอกลับทอแสงแรงขึ้นจนเห็นได้ชัด ใบหน้าที่สดใสมีน้ำมีนวลขึ้นของคนท้องรับกันดีกับแววตาที่ยิ่งทวีความหวัง บางครารดิศก็ไม่เข้าใจว่าเธอรู้สึกแบบนั้นได้อย่างไร
เธอน่าจะรู้สึกเหมือนมันเป็นโชคร้าย หรืออับอาย เสียใจที่ไม่ได้เรียนต่อ รู้สึกเหมือนคนอีกหลายคนที่ประสบเหตุเดียวกันกับเธอ แต่ณิชาไม่เคยรู้สึกว่าเธอกำลังแพ้
บางเวลา รดิศรู้สึกว่าเธอกำลังชนะเสียด้วยซ้ำไป
เมื่อลองเอ่ยถามว่าชีวิตที่มีท้องเป็นอย่างไร ณิชาให้คำตอบว่า ทุกๆ วัน เธอคิดเพียงแต่ว่า เธอจะทำอะไรให้ลูกได้บ้าง และจะต้องเตรียมอะไรสำหรับเขาบ้าง เธอจะทำงานอะไรระหว่างที่หยุดเรียนไปเลี้ยงเขา หรือเธอต้องไปหาหมออีกครั้งเมื่อไหร่ ณิชามีเรื่องมากมายที่ต้องทำเพื่อเตรียมตัวดรอปและคลอด นอกจากเรื่องเรียนแล้วดูเหมือนเธอจะยุ่งอยู่ตลอด
“การมีอะไรให้ทำ มีเรื่องให้หวัง มีคนให้รัก คือกฎแห่งความสุขสามข้อของมนุษย์” ณิชากล่าว “หนูยุ่งตลอด มีคนให้รักอยู่ในท้องนี้ และไม่เคยสิ้นหวัง แล้วพี่ยังต้องถามว่ามีความสุขไหมด้วยหรือคะ”
เธอลูบท้องเบาๆ มองตาเขา แล้วก็หัวเราะ “พี่ดิศไม่ต้องเป็นห่วงหนูหรอกค่ะ ยังไงหนูก็ไม่ได้ตัวคนเดียว หนูยังมีแม่...กับลูก”
รดิศมองภาพใบหน้าด้านข้างของเธอ เขาเริ่มรู้ใจตัวเองแล้วว่าบางเวลาเขานึกอยากให้ณิชาร้องไห้เข้ามากอด แต่ก็ตระหนักเช่นกันว่า การหวังให้เธอพึ่งพาตัวเองมากขึ้นอีกนิดนั้นเป็นความคิดที่ผิด ณิชาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเขา เธอเข้มแข็งกว่าเขามาก เขาต่างหากที่อ่อนแอ และหากเขาอยากให้เธอพึ่งพาเขา นั่นก็คือเขากำลังพึ่งพาเธออยู่ด้วยเช่นกัน เขากำลังต้องการอะไรบางอย่างที่อ่อนแอกว่ามาทำให้ตัวเองรู้สึกเข้มแข็งขึ้น และณิชาไม่อาจถูกใช้เพื่อการนั้น
รดิศถอนหายใจ รู้สึกสมเพชตัวเองอยู่ครามครันที่ทำเป็นอยากเป็นที่พึ่งให้คนอื่น แต่แท้จริงแล้วก็เพื่อจะช่วยค้ำจุนจิตใจของตัวเอง
###
รดิศไม่ใช่คนจำหน้าใครเก่ง อย่างที่บอกไปแล้ว และปกติเขาก็ไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน เขาไม่เข้าใจว่าตัวเองทำสิ่งที่ไร้เหตุผลแบบนั้นออกไปได้ยังไง
ทันทีที่เขาเห็นหน้าหมอนั่น ผู้ชายที่เดินสวนกันที่ข้างบ่อน้ำมหาวิทยาลัยคนนั้น เขาเดินมากับกลุ่มเพื่อนหญิงชายอีกสองสามคน ตอนแรกรดิศเพียงมองผ่าน ไม่ได้ให้ความสนใจใด แต่แว่บหนึ่งเขาคิดว่าเขาจำหน้าคนคนๆ นั้นได้ เขาครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะจำได้ว่าเขาคือผู้ชายของณิชา
ทันใดนั้น โดยยังไม่ทันใช้ความคิด รดิศหันกลับไปคว้าไหล่คนเดินสวนให้หันกลับมา ยังไม่ทันเอื้อนเอ่ยวาจา ก็ชกเข้าหน้าไปหนึ่งที
ชายคนนั้นเซถลา ทั้งงงทั้งเจ็บ เขากุมหน้า ตะโกนใส่รดิศ “อะไรวะ มึงเป็นใคร” เพื่อนคนอื่นของชายคนนั้นรีบหันกลับมาดูเพื่อน และจ้องมองรดิศอย่างงุนงง บางคนมีสายตาพร้อมจะเอาเรื่องกลับ คนเดินผ่านบางคนหยุดมองอย่างสนใจและตกใจ
รดิศลดมือที่กำลังง้างหมัดที่สองลงนิดหนึ่ง ใช่แล้วเขาเป็นใคร มีอะไรเกี่ยวข้องกับชายคนนี้ สิ่งเดียวที่เชื่อมโยงเขาทั้งสองเข้าหากัน คือเส้นบางๆ ที่เชื่อมเขาทั้งสองกับณิชา
แต่รดิศเป็นใครถึงจะมาทำอะไรเพื่อณิชา ชายหนุ่มถามตัวเอง แต่เขาก็ไม่มีคำตอบอื่น เขาจึงเอ่ยเสียงแห้งออกไปว่า “เป็นเพื่อนณิ”
เพียงเท่านั้น สีหน้าของคนๆ นั้นก็เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าของคนที่เสียใจในการกระทำของตัวเอง สีหน้าของคนที่เจ็บปวด เขาดันเพื่อนๆ ออกไป เดินเข้ามามองหน้ารดิศด้วยแววตาที่เจ็บปวดอยู่อย่างนั้น และเอ่ยว่า “...ชกจนกว่าจะพอใจเลยก็ได้”
คำเดียวที่ทำให้คนรอบข้างพากันงุนงง คำเดียวกันที่ทำให้รดิศหมดแรงจะโกรธอีก เขาลดมือลง มองหน้าคนๆ นั้น เกือบพึมพำขอโทษแต่ตัดสินใจไม่ทำดีกว่า เขาหันหลังจะเดินจากมา แต่ถูกเรียกไว้
“เดี๋ยว ขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย” เสียงนั้นถาม รดิศหันกลับมาและพยักหน้าเงียบๆ คนถูกชกจึงบอกเพื่อนให้เดินล่วงหน้าไปก่อน และเดินมาหารดิศ คนมุงค่อยๆ สลายตัวออกไป
“ณิเป็นยังไงบ้าง” เขาถาม เสียงพร่าๆ
“สบายดี จิตใจก็ดี แต่ยุ่งหลายอย่าง กำลังเตรียมตัวเรื่องดรอป” รดิศตอบเท่าที่รู้
แววตานั้นยังคงเซื่องซึมลงอีก “เป็นแฟนใหม่ณิเหรอ” เขาถาม และรดิศรีบส่ายหน้าตอบ มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม “เปล่า”
ชายคนนั้นดูเหมือนจะเชื่อ เขามองหน้ารดิศ แล้วพูดว่า “ผมก็สำนึกผิดนะ ผมเสียใจที่ทุกอย่างต้องมาเป็นอย่างนี้ ณิไม่ยอมรับโทรศัพท์ผมเลย บลอคเฟสบุ๊ค บลอคอย่างอื่นทุกอย่าง ทั้งที่ยืนยันว่าไม่ได้โกรธ แต่ถ้า...เห็นไม่ตรงกัน ก็ควรจะจากกันไป”
รดิศมองหน้าชายคนนี้ ดูท่าว่าแฟนเก่าจะยังชอบณิชาอยู่ “ทำไมถึง...” เขาถาม
“มันไม่มีทางเลือกอื่น คิดดูสิถ้ามีลูกตอนนี้จะไหวเหรอ”
รดิศนิ่งคิด เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน ไหวไหมนะ คงลำบากหลายอย่าง แต่เขาก็จะเรียนจบในอีกไม่นาน ถ้าเขาเป็นพ่อของลูกในท้องณิชา เขาคิดว่าคงไหว ณิชาอาจต้องดรอบเรียนอยู่ดี แต่เขาต้องหาเงินและดูแลเธอได้แน่
“มันไม่ไหวหรอกใช่มั้ย เงินอะไรก็ไม่มี พ่อแม่ก็คงรับไม่ได้ ถ้าจะให้แต่งงานตอนนี้ คนอื่นจะมองยังไง”
“ณิเคยพูดว่าคนบางคนก็สนใจว่าคนอื่นจะมองยังไง จนไม่ฟังว่าตัวเองอยากทำยังไง” รดิศเอ่ยเรียบๆ
“ผมรู้ว่าผมไม่อยากทำอะไร” ชายคนนั้นตอบ รดิศคิดตามแล้วเห็นว่าจริง คนตรงหน้ามีเหตุผลของตัวเองที่มีน้ำหนักเช่นเดียวกัน ณิชาคงคิดเหมือนเขาว่าไม่อาจเถียงกับเหตุผลที่คนๆ นี้มีได้ เพราะมันก็เป็นเรื่องที่คนทั่วไปควรจะคิดแบบนั้น ดังนั้นเธอจึงให้สิทธิเขาทำสิ่งที่เขาควรทำ
รดิศเองก็ไม่คิดว่าชายคนนี้ทำผิด ความกรุ่นโกรธของรดิศไม่ได้เกี่ยวกับศีลธรรมหรอก เขาไม่ได้คิดว่าคนเราไม่ควรทำแท้ง เขาจะไม่ว่าเลยถ้าทั้งสองคนเลือกเอาเด็กออกแล้วมีชีวิตอยู่ต่อไป รดิศโกรธคนตรงหน้า เพราะคนๆ นี้ทิ้งณิชามาเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ
“แต่ผมก็เสียใจกับเรื่องนี้ ณิเป็นคนดีจริงๆ สิ่งที่เธอเลือกจะทำเป็นสิ่งที่มีค่า แต่ว่าผมเลือกทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ”
รดิศมองหน้าคนพูด สายตาของเขาคงสบประมาทอยู่ไม่น้อย เพราะอีกฝ่ายตอบมาว่า “อย่ามองแบบนั้นสิ ผมยังสำนึกผิดเรื่องนี้อยู่ทุกคืนนะ”
“สำนึกผิดไปเถอะ มันไม่ช่วยอะไรณิหรอก” รดิศตอกใส่หน้าแล้วคิดว่าจะเดินจากไปเสียดีกว่า แต่อีกฝ่ายเรียกเขาไว้อีกครั้ง
“เดี๋ยวขอเบอร์ติดต่อหน่อยได้ไหม ผมอยากรู้เรื่องของณิบ้าง” ชายคนนั้นถาม รดิศจึงบอกเบอร์ให้และถามเบอร์กลับ ก่อนจะเก็บลงในเครื่อง เขาไม่อาจพิมพ์ชื่อเจ้าของเบอร์ว่าแฟนเก่าของณิชาได้ เขาจึงถามว่า “ชื่ออะไรเหรอ”
ฝ่ายนั้นมองหน้าเขาเหมือนประหลาดใจที่เขาไม่รู้ ก่อนจะตอบว่า “อรุษครับ”
“รดิศ” รดิศตอบ ไม่ยิ้ม สงสัยว่าอีกฝ่ายจะสะกดชื่อเขาถูกได้ยังไง แต่เขาก็สะกดชื่ออีกฝ่ายแบบสุ่มๆ ไปเหมือนกัน
คืนนั้น รดิศนั่งไตร่ครองกับตัวเองแล้วนึกสงสัยว่าทำไมจึงกลายเป็นคนใจร้อนปราดเข้าไปชกคนที่ไม่รู้จักชื่อแบบนั้น ทำไมต้องโกรธแค้นแทนณิชาที่ไม่ได้โกรธเกลียดอะไรเลย และทำไมถึงเจ็บปวดหัวใจเสียเหลือเกินเมื่อคิดว่าณิชายังรักอรุษอยู่
เขาอาจไม่เคยมีความรัก แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ เมื่อคิดใคร่ครวญเสร็จเขาก็สรุปได้ว่าเขาชอบณิชา และเมื่อรู้ดังนั้น ชายหนุ่มก็อึ้งไป คิดอะไรต่อไม่ออกอยู่เป็นนาน
นวนิยายขนาดสั้นรองชนะเลิศอันดับสอง รางวัลนักเขียนรุ่นเยาว์ เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 11 ประจำปี 2557
สารบัญและบทก่อนหน้านี้
4
รดิศจำอะไรไม่ได้มากนักในเช้าหลังจากแม่ตาย
เขาจำได้เลาๆ ว่าพ่อออกจากบ้านไปตามหาแม่ทั้งคืน หลังจากที่แม่ไม่กลับมาในอีกครึ่งชั่วโมงให้หลัง พ่อดูเหมือนจะมีสติมากขึ้น และออกเดินตามหาแม่ในละแวกบ้าน “รดิศเฝ้าบ้านนะ อย่าออกไปไหนนะลูก” พ่อลูบหัวเขาแล้วฝ่าสายฝนเดินออกไป ไม่นานก็กลับมามาบ้าน “แม่กลับมามั้ย” คือคำถามแรกเมื่อเห็นเขาเฝ้ารออยู่ที่ประตู เด็กชายส่ายหัว พ่อก็ส่ายหัว และออกตามหาอีกครั้ง เมื่อไม่เจอ ขอบเขตการค้นพาก็ไกลออกไป ไกลออกไป...
ตอนสามทุ่มพ่อส่งเขาเข้านอน “ไม่เป็นไรนะลูก นอนซะ เดี๋ยวพ่อจะออกไปหาแม่” รดิศจำได้ว่าตัวเองมองพ่อออกจากห้องไป ประตูห้องนอนปิดลง และเขาก็ปีนจากเตียงไปดูที่หน้าต่าง ร่างของพ่อค่อยๆ ลับหายไป รดิศรอแล้วรอเล่าพ่อก็ไม่กลับมา จนกระทั่งเขาหลับไปข้างหน้าต่างนั้นเอง
ถ้าหากไม่มีใครกลับมาอีกแล้วล่ะ ดูเหมือนในคืนนั้น นี่จะเป็นคำถามที่วนเวียนอยู่ในความฝันของเขาจนกระทั่งตะวันมา
สำหรับรดิศ มันคือคำถามที่น่ากลัวที่สุดตั้งแต่เขาเกิดมา แต่โชคดีที่พ่อกลับมาในตอนเช้า แต่โชคร้ายที่แม่ไม่ได้กลับมาด้วย...
ไม่รู้ว่าพ่อไปเจอแม่ได้อย่างไร หรือในสภาพไหน พ่อเห็นแม่ที่ราง หรือหลังจากรถกู้ภัยมาพาแม่ไปโรงพยาบาลแล้ว ใครบอกพ่อให้ไปไกลถึงรางรถไฟ หรือพ่อออกเดินเช็คตามโรงพยาบาลไปแล้วกี่แห่งในคืนนั้น รดิศไม่เคยถาม เขาไม่กล้าถามเพราะไม่กล้าแตะต้องบาดแผลของพ่อ ผลก็คือเขาไม่เคยรู้
สิ่งเดียวที่เขารู้คือสิ่งที่เขาเห็น หลังจากนั้นพ่อสูญเสียความสามารถในการเป็นมนุษย์ที่ดีไปช่วงระยะหนึ่ง รดิศจึงถูกส่งไปอยู่กับป้า ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นตอนออกจากบ้านเป็นภาพพ่อกวาดข้าวของบนชั้นให้ร่วงครืนลงมาแล้วกรีดร้อง จากนั้นก็กุมหัวตัวเองร้องไห้
พ่อโทษตัวเองว่าเป็นคนทำให้แม่ตายไป และมันก็ปฏิเสธยากว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่รดิศไม่ยอมให้ใครโทษพ่อแม้แต่ตัวเขาเอง เขาจะปกป้องพ่อทุกครั้งที่มีใครพูดอะไรก็ตาม แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถปกป้องพ่อจากตัวพ่อเองได้
สามเดือนหลังจากนั้นพ่อไปรับเขากลับมา พ่อดูคล้ายคนเดิมแต่เงียบขรึมลง เงียบยิ่งกว่าตอนที่แม่ร้องไห้บ่อยที่สุด เงียบจนเหมือนป่าช้า แต่รดิศรู้สึกคล้ายได้ยินเสียงหึ่งเหมือนจักจั่นอยู่ตลอดเวลา เสียงระงมแห่งความเศร้าจากในตัวพ่อดังลั่น
เวลารักษาทุกอย่าง มันช่วยดับเสียงจักจั่นในป่าสน หลายปีผันผ่าน ในที่สุดพ่อก็กลับมาเป็นปกติ เป็นพ่อคนเดิมที่รดิศจำได้ อาจจะร่าเริงกว่าคนเดิมด้วยซ้ำ พ่อที่อยู่กับแม่มีใบหน้าทุกข์ใจเสมอ ใบหน้าของคนที่ไม่รู้จะช่วยเหลือครอบครัวอย่างไรดี แต่ในยามนี้พ่อกลับดูร่าเริงมากขึ้น กระนั้นพ่อก็ยังไม่เคยลืมเลือนสิ่งที่เกิด ทุกคราที่มีอะไรเกี่ยวกับแม่เข้ามาสะกิด ใบหน้าของพ่อจะหมองคล้ำลงไปถนัดใจ ภายในคืนเดียวพ่ออาจดูแก่ลงหลายปี และนอกเหนือจากนั้น พ่อช่างดู...โศกเศร้า และรดิศก็จะรู้สึกคล้ายได้ยินเสียงจักจั่นร้องอีกครั้ง พวกมันอยู่ในตัวพ่อ พากันร้องระงม
บางคราวมันก็เหมือนเสียงของฝน...
อยู่กับพ่อมาหลายต่อหลายปี รดิศรู้ดีถึงสรรพสำเนียงของคนสิ้นหวัง อาลัย
เขาเคยคิดว่าจะต้องได้ยินเสียงแบบเดียวกันนี้จากในตัวณิชา แต่ไม่เลย เขาไม่เคยได้ยินเธอพูดจาน่าหดหู่ ยิ่งวันหน้าท้องของณิชายิ่งขยายขึ้น ทีละน้อยๆ เชื่องช้า แต่แววตาของเธอกลับทอแสงแรงขึ้นจนเห็นได้ชัด ใบหน้าที่สดใสมีน้ำมีนวลขึ้นของคนท้องรับกันดีกับแววตาที่ยิ่งทวีความหวัง บางครารดิศก็ไม่เข้าใจว่าเธอรู้สึกแบบนั้นได้อย่างไร
เธอน่าจะรู้สึกเหมือนมันเป็นโชคร้าย หรืออับอาย เสียใจที่ไม่ได้เรียนต่อ รู้สึกเหมือนคนอีกหลายคนที่ประสบเหตุเดียวกันกับเธอ แต่ณิชาไม่เคยรู้สึกว่าเธอกำลังแพ้
บางเวลา รดิศรู้สึกว่าเธอกำลังชนะเสียด้วยซ้ำไป
เมื่อลองเอ่ยถามว่าชีวิตที่มีท้องเป็นอย่างไร ณิชาให้คำตอบว่า ทุกๆ วัน เธอคิดเพียงแต่ว่า เธอจะทำอะไรให้ลูกได้บ้าง และจะต้องเตรียมอะไรสำหรับเขาบ้าง เธอจะทำงานอะไรระหว่างที่หยุดเรียนไปเลี้ยงเขา หรือเธอต้องไปหาหมออีกครั้งเมื่อไหร่ ณิชามีเรื่องมากมายที่ต้องทำเพื่อเตรียมตัวดรอปและคลอด นอกจากเรื่องเรียนแล้วดูเหมือนเธอจะยุ่งอยู่ตลอด
“การมีอะไรให้ทำ มีเรื่องให้หวัง มีคนให้รัก คือกฎแห่งความสุขสามข้อของมนุษย์” ณิชากล่าว “หนูยุ่งตลอด มีคนให้รักอยู่ในท้องนี้ และไม่เคยสิ้นหวัง แล้วพี่ยังต้องถามว่ามีความสุขไหมด้วยหรือคะ”
เธอลูบท้องเบาๆ มองตาเขา แล้วก็หัวเราะ “พี่ดิศไม่ต้องเป็นห่วงหนูหรอกค่ะ ยังไงหนูก็ไม่ได้ตัวคนเดียว หนูยังมีแม่...กับลูก”
รดิศมองภาพใบหน้าด้านข้างของเธอ เขาเริ่มรู้ใจตัวเองแล้วว่าบางเวลาเขานึกอยากให้ณิชาร้องไห้เข้ามากอด แต่ก็ตระหนักเช่นกันว่า การหวังให้เธอพึ่งพาตัวเองมากขึ้นอีกนิดนั้นเป็นความคิดที่ผิด ณิชาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเขา เธอเข้มแข็งกว่าเขามาก เขาต่างหากที่อ่อนแอ และหากเขาอยากให้เธอพึ่งพาเขา นั่นก็คือเขากำลังพึ่งพาเธออยู่ด้วยเช่นกัน เขากำลังต้องการอะไรบางอย่างที่อ่อนแอกว่ามาทำให้ตัวเองรู้สึกเข้มแข็งขึ้น และณิชาไม่อาจถูกใช้เพื่อการนั้น
รดิศถอนหายใจ รู้สึกสมเพชตัวเองอยู่ครามครันที่ทำเป็นอยากเป็นที่พึ่งให้คนอื่น แต่แท้จริงแล้วก็เพื่อจะช่วยค้ำจุนจิตใจของตัวเอง
###
รดิศไม่ใช่คนจำหน้าใครเก่ง อย่างที่บอกไปแล้ว และปกติเขาก็ไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน เขาไม่เข้าใจว่าตัวเองทำสิ่งที่ไร้เหตุผลแบบนั้นออกไปได้ยังไง
ทันทีที่เขาเห็นหน้าหมอนั่น ผู้ชายที่เดินสวนกันที่ข้างบ่อน้ำมหาวิทยาลัยคนนั้น เขาเดินมากับกลุ่มเพื่อนหญิงชายอีกสองสามคน ตอนแรกรดิศเพียงมองผ่าน ไม่ได้ให้ความสนใจใด แต่แว่บหนึ่งเขาคิดว่าเขาจำหน้าคนคนๆ นั้นได้ เขาครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะจำได้ว่าเขาคือผู้ชายของณิชา
ทันใดนั้น โดยยังไม่ทันใช้ความคิด รดิศหันกลับไปคว้าไหล่คนเดินสวนให้หันกลับมา ยังไม่ทันเอื้อนเอ่ยวาจา ก็ชกเข้าหน้าไปหนึ่งที
ชายคนนั้นเซถลา ทั้งงงทั้งเจ็บ เขากุมหน้า ตะโกนใส่รดิศ “อะไรวะ มึงเป็นใคร” เพื่อนคนอื่นของชายคนนั้นรีบหันกลับมาดูเพื่อน และจ้องมองรดิศอย่างงุนงง บางคนมีสายตาพร้อมจะเอาเรื่องกลับ คนเดินผ่านบางคนหยุดมองอย่างสนใจและตกใจ
รดิศลดมือที่กำลังง้างหมัดที่สองลงนิดหนึ่ง ใช่แล้วเขาเป็นใคร มีอะไรเกี่ยวข้องกับชายคนนี้ สิ่งเดียวที่เชื่อมโยงเขาทั้งสองเข้าหากัน คือเส้นบางๆ ที่เชื่อมเขาทั้งสองกับณิชา
แต่รดิศเป็นใครถึงจะมาทำอะไรเพื่อณิชา ชายหนุ่มถามตัวเอง แต่เขาก็ไม่มีคำตอบอื่น เขาจึงเอ่ยเสียงแห้งออกไปว่า “เป็นเพื่อนณิ”
เพียงเท่านั้น สีหน้าของคนๆ นั้นก็เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าของคนที่เสียใจในการกระทำของตัวเอง สีหน้าของคนที่เจ็บปวด เขาดันเพื่อนๆ ออกไป เดินเข้ามามองหน้ารดิศด้วยแววตาที่เจ็บปวดอยู่อย่างนั้น และเอ่ยว่า “...ชกจนกว่าจะพอใจเลยก็ได้”
คำเดียวที่ทำให้คนรอบข้างพากันงุนงง คำเดียวกันที่ทำให้รดิศหมดแรงจะโกรธอีก เขาลดมือลง มองหน้าคนๆ นั้น เกือบพึมพำขอโทษแต่ตัดสินใจไม่ทำดีกว่า เขาหันหลังจะเดินจากมา แต่ถูกเรียกไว้
“เดี๋ยว ขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย” เสียงนั้นถาม รดิศหันกลับมาและพยักหน้าเงียบๆ คนถูกชกจึงบอกเพื่อนให้เดินล่วงหน้าไปก่อน และเดินมาหารดิศ คนมุงค่อยๆ สลายตัวออกไป
“ณิเป็นยังไงบ้าง” เขาถาม เสียงพร่าๆ
“สบายดี จิตใจก็ดี แต่ยุ่งหลายอย่าง กำลังเตรียมตัวเรื่องดรอป” รดิศตอบเท่าที่รู้
แววตานั้นยังคงเซื่องซึมลงอีก “เป็นแฟนใหม่ณิเหรอ” เขาถาม และรดิศรีบส่ายหน้าตอบ มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม “เปล่า”
ชายคนนั้นดูเหมือนจะเชื่อ เขามองหน้ารดิศ แล้วพูดว่า “ผมก็สำนึกผิดนะ ผมเสียใจที่ทุกอย่างต้องมาเป็นอย่างนี้ ณิไม่ยอมรับโทรศัพท์ผมเลย บลอคเฟสบุ๊ค บลอคอย่างอื่นทุกอย่าง ทั้งที่ยืนยันว่าไม่ได้โกรธ แต่ถ้า...เห็นไม่ตรงกัน ก็ควรจะจากกันไป”
รดิศมองหน้าชายคนนี้ ดูท่าว่าแฟนเก่าจะยังชอบณิชาอยู่ “ทำไมถึง...” เขาถาม
“มันไม่มีทางเลือกอื่น คิดดูสิถ้ามีลูกตอนนี้จะไหวเหรอ”
รดิศนิ่งคิด เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน ไหวไหมนะ คงลำบากหลายอย่าง แต่เขาก็จะเรียนจบในอีกไม่นาน ถ้าเขาเป็นพ่อของลูกในท้องณิชา เขาคิดว่าคงไหว ณิชาอาจต้องดรอบเรียนอยู่ดี แต่เขาต้องหาเงินและดูแลเธอได้แน่
“มันไม่ไหวหรอกใช่มั้ย เงินอะไรก็ไม่มี พ่อแม่ก็คงรับไม่ได้ ถ้าจะให้แต่งงานตอนนี้ คนอื่นจะมองยังไง”
“ณิเคยพูดว่าคนบางคนก็สนใจว่าคนอื่นจะมองยังไง จนไม่ฟังว่าตัวเองอยากทำยังไง” รดิศเอ่ยเรียบๆ
“ผมรู้ว่าผมไม่อยากทำอะไร” ชายคนนั้นตอบ รดิศคิดตามแล้วเห็นว่าจริง คนตรงหน้ามีเหตุผลของตัวเองที่มีน้ำหนักเช่นเดียวกัน ณิชาคงคิดเหมือนเขาว่าไม่อาจเถียงกับเหตุผลที่คนๆ นี้มีได้ เพราะมันก็เป็นเรื่องที่คนทั่วไปควรจะคิดแบบนั้น ดังนั้นเธอจึงให้สิทธิเขาทำสิ่งที่เขาควรทำ
รดิศเองก็ไม่คิดว่าชายคนนี้ทำผิด ความกรุ่นโกรธของรดิศไม่ได้เกี่ยวกับศีลธรรมหรอก เขาไม่ได้คิดว่าคนเราไม่ควรทำแท้ง เขาจะไม่ว่าเลยถ้าทั้งสองคนเลือกเอาเด็กออกแล้วมีชีวิตอยู่ต่อไป รดิศโกรธคนตรงหน้า เพราะคนๆ นี้ทิ้งณิชามาเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ
“แต่ผมก็เสียใจกับเรื่องนี้ ณิเป็นคนดีจริงๆ สิ่งที่เธอเลือกจะทำเป็นสิ่งที่มีค่า แต่ว่าผมเลือกทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ”
รดิศมองหน้าคนพูด สายตาของเขาคงสบประมาทอยู่ไม่น้อย เพราะอีกฝ่ายตอบมาว่า “อย่ามองแบบนั้นสิ ผมยังสำนึกผิดเรื่องนี้อยู่ทุกคืนนะ”
“สำนึกผิดไปเถอะ มันไม่ช่วยอะไรณิหรอก” รดิศตอกใส่หน้าแล้วคิดว่าจะเดินจากไปเสียดีกว่า แต่อีกฝ่ายเรียกเขาไว้อีกครั้ง
“เดี๋ยวขอเบอร์ติดต่อหน่อยได้ไหม ผมอยากรู้เรื่องของณิบ้าง” ชายคนนั้นถาม รดิศจึงบอกเบอร์ให้และถามเบอร์กลับ ก่อนจะเก็บลงในเครื่อง เขาไม่อาจพิมพ์ชื่อเจ้าของเบอร์ว่าแฟนเก่าของณิชาได้ เขาจึงถามว่า “ชื่ออะไรเหรอ”
ฝ่ายนั้นมองหน้าเขาเหมือนประหลาดใจที่เขาไม่รู้ ก่อนจะตอบว่า “อรุษครับ”
“รดิศ” รดิศตอบ ไม่ยิ้ม สงสัยว่าอีกฝ่ายจะสะกดชื่อเขาถูกได้ยังไง แต่เขาก็สะกดชื่ออีกฝ่ายแบบสุ่มๆ ไปเหมือนกัน
คืนนั้น รดิศนั่งไตร่ครองกับตัวเองแล้วนึกสงสัยว่าทำไมจึงกลายเป็นคนใจร้อนปราดเข้าไปชกคนที่ไม่รู้จักชื่อแบบนั้น ทำไมต้องโกรธแค้นแทนณิชาที่ไม่ได้โกรธเกลียดอะไรเลย และทำไมถึงเจ็บปวดหัวใจเสียเหลือเกินเมื่อคิดว่าณิชายังรักอรุษอยู่
เขาอาจไม่เคยมีความรัก แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ เมื่อคิดใคร่ครวญเสร็จเขาก็สรุปได้ว่าเขาชอบณิชา และเมื่อรู้ดังนั้น ชายหนุ่มก็อึ้งไป คิดอะไรต่อไม่ออกอยู่เป็นนาน