เสียงจักจั่นในป่าสน
นวนิยายขนาดสั้นรองชนะเลิศอันดับสอง รางวัลนักเขียนรุ่นเยาว์ เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 11 ประจำปี 2557
สารบัญและบทก่อนหน้านี้
นวนิยายขนาดสั้นรองชนะเลิศอันดับสอง รางวัลนักเขียนรุ่นเยาว์ เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 11 ประจำปี 2557
สารบัญและบทก่อนหน้านี้
2
“ครับพ่อ เดี๋ยววันศุกร์บ่ายๆ ผมกลับบ้าน ฝากซื้ออะไรมั้ยฮะ” รดิศกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ เท้าก็เดินย้อนศรกับเส้นทางเมื่อวันก่อน มุ่งหน้าเข้าสู่อาคารเรียนรวมสังคมศาสตร์ ปลายสายตอบกลับมาว่าถ้าจะเข้าบ้านให้โทรมาบอกด้วยจะฝากซื้อข้าวเย็น ชายหนุ่มเอ่ยรับอีกคำสองคำก่อนจะวางสาย
พ่อคงฝากซื้อข้าวขาหมูเหมือนเคยแหละ พ่อน่ะชอบข้าวขาหมู “บอกเขาติดมัน เอาหนังเยอะๆ นะลูก” พ่อจะสั่งให้เขาซื้อแบบนั้นให้ทุกทีเวลาเขาแวะอนุเสาวรีย์ก่อนกลับบ้าน รดิศว่าจะไม่ซื้อให้หลายทีแล้ว กลัวว่าพ่อเองก็แก่แบบนี้กินของแบบนั้นแล้วเดี๋ยวจะป่วยเอา แต่พอนึกถึงความชอบของพ่อ ก็ใจอ่อนซื้อไปทุกที
แล้วถ้าพ่อป่วยไป จะมาโทษตัวเองทีหลังรึเปล่านะ เขาคิดขณะซุกมือถือกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เหลียวมองออกไปยังท้องฟ้าด้านนอก เมฆอ้วนๆ สีเทาอ้อยอิ่งอยู่บน ชายหนุ่มถอนหายใจ คิดว่าเย็นนี้ฝนคงตกเพราะเขาเป็นคนดวงซวยในเรื่องฝนอยู่แล้ว
ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เหตุการณ์ร้ายๆ มักเกิดขึ้นในวันฝนตก รดิศเกลียดวันฝนตก เกลียดฝน เกลียดหน้าฝน แต่กระนั้นมันก็เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เขาต้องอยู่กับมันให้ได้ รดิศถอนหายใจอย่างรำคาญ ก่อนจะเดินเข้าห้องเรียนไป
บ่ายสามโมง รดิศไม่มีเรียนแล้ว ตลอดทั้งวันนี้เขารู้สึกหนักไปทั้งตัวแถมยังปวดหัวแปลกๆ ท่าทางว่าคงจะเป็นไข้เอาจริงๆ หลังจากตากฝนเมื่อคืน
กินยาแล้วนอนก็คงหาย ชายหนุ่มคิดพลางนวดหัวตาของตัวเองสองสามครั้ง เขาไม่คิดว่าตัวเองจะป่วยหนัก หรือเอาเข้าจริงก็กำลังภาวนาว่าอย่าป่วยหนักเลยจะดีกว่า เพราะเขาไม่ชอบการไปโรงพยาบาล
ใยจะต้องเสียเงินเข้าโรงพยาบาลเล่า ในเมื่อเราสามารถขอยาแบบเดียวกันจากห้องพยาบาลได้ ค่าสวัสดิการของมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งที่ราคาสูง ดังนั้นถ้าไม่ใช้ก็เหมือนจ่ายเสียเปล่า
ห้องพยาบาลของมหาลัยอยู่ที่ชั้นล่างสุดของอาคารเรียน ติดกับโถงทางออก แต่คนละฝั่งกับที่เขาเดินเข้ามาเมื่อวันก่อน รดิศแวะที่นั่นก่อนกลับหอเพื่อหวังจะขอพาราสักชุด เขาก้าวเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูตามหลังตัวเอง และก็ต้องรีบผวาไปเปิดประตูใหม่อีกรอบ เพราะเกือบปิดกระแทกเข้ากับเด็กผู้หญิงที่เดินตามเข้ามาพอดี
เธอคนนั้นก้มตัวลงยกมือป้องท้อง ร้องหวา แทนที่จะใช้มือยันประตูไว้อย่างที่ควร
“ขอโทษครับ ขอโทษ” รดิศเอ่ยตามมารยาทมากกว่าจะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ “ไม่เป็นไรค่ะ” เธอคนนั้นพึมพำและเงยหน้าขึ้นมองเขา
และเธอก็คือ เธอคนนั้น หญิงสาวเจ้าน้ำตาที่เดินหายไปในคืนฝนตก
รดิศจ้องมองเธอและได้แน่ใจว่าเธอก็จำเขาได้เหมือนกัน
###
มันช่างเป็นช่วงเวลาที่เก้อเขินหากคุณสบตาเข้ากับใครสักคนและถอนสายตาออกโดยไม่แน่ใจว่าจะพูดอะไร รดิศไม่รู้ว่าควรทักเธอดีไหม หรือจะทักอย่างไร จึงได้แต่หันไปทางอื่นแล้วเดินเสเข้าไปที่โต๊ะของเจ้าหน้าที่ที่รอให้บริการอยู่ เอ่ยเสียงพร่าๆ ว่า “น่าจะเป็นไข้ ขอยาแก้ไข้แก้ปวดสักชุดนะครับ”
“ลงชื่อไว้” พนักงานตอบมาเสียงเนือยๆ และหันมาทางหญิงร่างเล็กที่อยู่ข้างหลังเขา “หนูเป็นอะไรล่ะ”
“ปวดหัว ตัวร้อนค่ะ...” เธอเอ่ยเสียงเบาหวิว
“ลงชื่อไว้ เอาพารามาสอง” พนักงานตะโกนเข้าไปที่โต๊ะด้านใน
“เอ่อ คือ...” เธอคนนั้นเริ่มพูด แต่อยู่ๆ ก็หันมามองรดิศที่กำลังเขียนชื่อกับอาการของตัวเองลงในใบบันทึกการเข้าใช้บริการอยู่ รดิศหันไปมองเธออย่างงงๆ ทำให้เธอดูลังเลใจจนไม่กล้าจะเอ่ยออกมา เขานึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ควรจ้องมองเธอ จึงแกล้งทำเป็นก้มหน้าก้มตาเขียนต่อไป แต่หูของเขากลับอยากรู้เสียจริงๆ ว่ามีอะไรที่เธออยากจะพูดแต่นึกอายที่จะพูดต่อหน้าเขา
เสียงของเธอดังอยู่ข้างๆ หู ระหว่างที่ตัวอักษรในใบบันทึกการใช้บริการของรดิศโย้เย้เพราะคนเขียนเอาแต่ตั้งใจแอบฟัง
“หนูท้องค่ะ กินพาราได้รึเปล่าคะ” เสียงถามออกหวั่นๆ นั้นทำให้เขาหยุดเขียนแต่ก็ไม่กล้าที่จะหันไปมอง ความเงียบโรยตัวลงในห้องชั่วแว่บหนึ่ง พี่เจ้าหน้าที่หันไปถามคนจัดยาว่า “ท้องกินพาราได้รึเปล่า” ด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ดูปกติไม่มีอะไร
“ท้องเหรอ” เสียงห้องข้างในตอบกลับมาดูแปลกใจ เจ้าของเสียงนั้นหยุดนึกชั่วครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ได้สิ พาราได้แต่แอสไพรินไม่ได้ ป่วยมากรึเปล่า ถ้าไม่ป่วยมากยังไม่ต้องกินยา” คนที่นั่งอยู่ข้างในโผล่หัวออกมาในห้องให้บริการและแนะนำว่า “หนูกลับไปนอนพักเยอะๆ กินผลไม้ กินน้ำเยอะๆ ไปก่อน เดี๋ยวก็หายเอง ถ้ายังไม่หายก็ไปหาหมอเลย ยาอันที่จริงกินได้ แต่ลองรักษาเองดูก่อน ไว้เป็นหนักๆ จริงๆ ค่อยกิน แต่ถ้าเป็นหนักนี่หนูไปหาหมอเลยนะ อย่ากินยาเอง เข้าใจมั้ย”
“ค่ะ” เธอเอ่ย น้ำเสียงเหมือนกำลังยิ้มอยู่ “งั้นไม่เอายาไปนะคะ”
“อืม งั้นยังไม่ต้องแล้วกัน” เสียงของคนจัดยาตอบ
“งั้นไม่ต้องเขียนชื่อนะคะ” เธอถาม นิ้วเล็กๆ ของเธอชี้มาโดนรดิศ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ใส่ใจ
“ไม่ต้องเขียนๆ” เสียงเดิมตอบ
“ขอบคุณค่ะ” เสียงนั้นกล่าวสดใสขึ้น แล้วรดิศก็รู้สึกได้ว่าเธอผลักประตูออกจากห้องพยาบาลไป
“ท้องเหรอ” พี่เจ้าหน้าที่พูดหลังจากเห็นเธอออกจากห้องไปแล้ว
“ถามแบบนี้ก็แปลว่าคงจะเก็บไว้แหละ” คนจัดยาบอกแล้วหดหัวกลับเข้าไปในห้องของตัวเองตามเดิม
นั่นสินะ ถ้าหากว่าไม่คิดจะเก็บลูกไว้ล่ะก็ คงไม่สนใจหรอกว่าจะกินยาพาราแล้วท้องจะเป็นอะไรรึเปล่า คงจะยิ่งดีเสียอีก ถ้ากินยาผิดๆ แล้วลูกหลุดออกมาเลย เพราะอย่างนี้เองพี่คนจัดยาถึงบอกว่าแปลว่าเธอคงอยากจะคลอดเด็กคนนั้น รดิศเขียนใบบันทึกการใช้บริการเสร็จและเงยหน้าขึ้น เขามองออกไปนอกประตูกระจก และเห็นผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่หน้าห้องพยาบาล เธอกำลังมองออกไปนอกตึก มองออกไปที่ท้องฟ้าที่ยามนี้เป็นสีฟ้าสดใส เมฆอ้วนๆ สีเทาพวกนั้นลอยหายไปไหนไม่รู้แล้วตั้งแต่สายๆ ตอนนี้แดดรังสิตแรงจัดจนแทบเห็นละอองสีทองในอากาศ
รดิศมองดูเธอหยิบร่มออกมาจากกระเป๋า กางออกกันแดด เธอเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้งและยิ้มกับตัวเอง ก่อนจะก้าวเดินออกไป ภาพอันสดใสนั้นตัดฉับเข้ากับภาพคืนก่อนที่ถูกบันทึกไว้ในความทรงจำ ภาพคืนที่ฝนตกหนักและมืดสนิท มีเพียงแสงสีขาวจ้าแบบบาดตาจากดวงไฟนีออนฉายอย่างเย็นชาอาบร่างเธอไว้ ใบหน้าของเธอที่กำลังร้องไห้
เขาคว้ายา เอ่ยขอบคุณ และเดินออกจากห้องพยาบาล เธอหันมามองเขาและยิ้มออกมาอย่างเขินๆ ดูท่าเธอคงรู้สึกอายที่ถูกเขาพบเจอในเวลาที่แย่ที่สุดเมื่อวาน และยังถูกรู้ว่ากำลังท้องอีก
รดิศมองหน้าเธอ ปากคอแห้งผาก เธอหันหลังกลับไปและออกเดิน ฉับพลันนั้นเขาตัดสินใจเอ่ยเรียกเธอไว้ “เดี๋ยว”
เธอหันมามองเขา รดิศคิดไม่ออกว่าอยากพูดอะไร แต่เขาอยากพูดกับเธอ
หลายคนเชื่อว่าเด็กๆ คือความหวังของผู้ใหญ่ เวลาผู้ใหญ่เห็นโลกของตัวเองเสื่อมโทรม เต็มไปด้วยความเลวร้าย พวกเขาจะมีความหวังได้ก็ต่อเมื่อมีคนในรุ่นต่อไปให้ฝากความหวัง หวังที่ว่าคนรุ่นหน้าจะไม่พลาดซ้ำเดิม จะทำให้ดีกว่าเดิม
เด็กทารก คือ ความหวัง
คนมีความหวัง คนที่เชื่อในความหวัง คือคนที่สามารถทำได้ทุกอย่าง คือคนที่เข้มแข็งที่สุดในโลก
“เธอน่ะ ถึงจะร้องไห้แต่ก็เข้มแข็งสินะ” รดิศเอ่ยออกไป เขาไม่รู้หรอกว่าควรจะพูดแบบนั้นหรือเปล่า แต่หลายอย่างในจิตใจขับให้เขาพูดออกไปแบบนั้น
น่าแปลกที่คำพูดของเขาทำให้เธอยิ้ม และตอบมาว่า “ถึงจะเข้มแข็งแต่ก็ยังต้องร้องไห้ค่ะ”
หัวใจของรดิศวูบไหว เขาหาคำปลอบแล้วเอ่ยออกไป “ถึงจะต้องร้องไห้ แต่เธอก็น่าชื่นชมมากนะ รู้มั้ย พยายามเข้าล่ะ”
สีหน้าของเขาคงแปลกพิลึก เขาไม่เคยพูดแบบนี้มาก่อน และไม่รู้ว่าพูดออกไปได้ยังไง แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกเลยว่ามันลิเกจนน่าอาย รดิศยังอยากรู้จริงๆ ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำหน้ายังไง เขาคิดว่ามันคงตลก แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้นึกขันเขา เธอแค่ยิ้มและบอกว่า “ขอบคุณค่ะ”
จากนั้นเธอก็ยิ้มอีกนิดหน่อย และหันหลังเดินจากไป เดินไปสู่โลกภายนอกที่เปิดออกสู่ท้องฟ้าสดใส รดิศมองตามภาพนั้น เธอค่อยๆ เดินไกลออกไป คล้ายกับวันนั้น แต่ต่างออกไป วันนี้ภาพสดใส อากาศดี ผู้หญิงคนนี้กำลังยิ้ม
อย่างน้อยเธอจะไม่ฆ่าตัวตาย รดิศบอกตัวเอง เจ็บเสียดในใจ มองภาพเธอเดินจากไป ภาพหญิงสาวสวมเสื้อสีขาวที่เดินจากไปในวันฝนตกซ้อนขึ้นมา ครู่เดียวก็พร่าไปด้วยน้ำตา
รดิศกะพริบตาและสูดลมหายใจไม่ให้ร้องไห้อีก เขาปวดหัวขึ้นมาอีกรอบ ท่าทางจะเป็นไข้จริงๆ แล้วล่ะ ชายหนุ่มหย่อนยาลงในกระเป๋า และเดินตรงไปข้างหน้า ทางเดียวกับที่ผู้หญิงคนนั้นเดินไป แต่ไม่เห็นร่างของเธออีกแล้ว เขามุ่งหน้ากลับหอ ในคืนนั้นชายหนุ่มไม่ทำงานอื่นใดอีก เขาอาบน้ำ กินข้าว กินยา แล้วก็นอนหลับไป
พอฤทธิ์ยาหมดลง ตอนเที่ยงคืนตรงพอดี รดิศสะดุ้งตื่นเพราะตัวร้อนจัด เขาลุกขึ้นงุนงง มีเพียงตัวเองคนเดียวที่จะช่วยได้ ในหัวหนักอึ้ง การลากร่างไปหาน้ำมาดื่มสักแก้วยังยากเย็นยิ่งนัก รดิศกินยาอีกเม็ด เอาผ้าชุบน้ำแปะหน้าผาก แล้วกล่อมตัวเองให้หลับไป เสียงฝนข้างนอกตกจั้กๆ อีกแล้ว ผ้าข้างนอกนั่นยังไม่ได้เก็บ เขาป่วยหนักเพราะฝน เรื่องซวยเก่าๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในวันฝนตก
เพราะฝน เพราะไม่สบาย เพราะอยู่คนเดียว ทำให้รู้สึกเหงา ทำให้คิดถึงความสิ้นหวังออกมาได้ล้านแบบ เธอคนนั้นจะเศร้าใจอยู่รึเปล่านะ ฝนตกแบบนี้ทำให้คนเศร้า เธอมีลูกในท้อง อาจจะกำลังกังวล วินาทีนี้ เธอจะร้องไห้อยู่รึเปล่านะ รดิศคิดเรื่องผู้หญิงคนนั้นแล้วรู้สึกเศร้า
เธออาจจะอยู่กับแฟนก็ได้ ทุกอย่างอาจจะเป็นเรื่องดีมากกว่าที่เขาคิด รดิศพยายามปลอบตัวเอง แต่เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนั้น มันไม่น่าง่ายแบบนั้น เขานึกถึงภาพเมื่อวานที่เธอเดินออกไป
เธอกังวลกับยาที่กินว่าจะมีผลอะไรกับลูกน้อยของเธอหรือไม่ แต่เธอเศร้าใจขนาดไหน ถึงเดินฝ่าฝนออกไป ทั้งที่รู้ว่ามันอาจทำให้เธอไม่สบาย และเธอก็ไม่น่าจะอยากป่วย ถ้าเธอห่วงเด็กน้อยของเธอ
เรื่องของเธอทำให้เขาเศร้า ผู้หญิงเสื้อขาวคนนั้นเดินลับไปไกลเรื่อยๆ ในวันฝนตก
สุดท้ายชายหนุ่มก็นอนต่อไปไม่ไหว ผ้าที่แปะอยู่บนหน้าผากร้อนเหมือนผ้าต้ม เขาลุกขึ้นมา เหวี่ยงผ้าลงไปบนพื้น เสียงของเปียกๆ แล่นไปบนกระเบื้องฟังดูน่ารังเกียจ รดิศงอตัว แล้วก็ร้องไห้ออกมา
เวลาไม่สบาย คนเราจะอ่อนแอง่าย คืนฝนตก คนเราจะอ่อนแอง่าย
รดิศเกลียดฝน เกลียดตั้งแต่วันที่แม่ตาย รดิศรู้ว่าตัวเองอ่อนไหว แต่ก็ไม่รู้จะขอให้ใครช่วยดี
####
“ฝนเอยทำไมจึงตก เพราะกบมันร้อง กบเอยทำไมจึงร้อง เพราะท้องมันปวด...” สมัยที่ยังเด็ก เวลาแม่ร้องไห้ ฝนมักจะตกอยู่เสมอ
ไม่สิ เวลาฝนตก แม่มักจะร้องไห้อยู่เสมอ แม่ร้องไห้แม้จะไม่มีอะไรให้น่าเศร้า แต่แม่ก็จะเศร้าขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ และค่อยๆ จมลึกลงไปในบึงแห่งความโศกเศร้า พาตัวเองกลับขึ้นมาไม่ได้ ได้แต่หดหู่ลงๆ ราวกับถูกโคลนดูดเข้าที่ขา
พ่อจะบอกว่า “ออกไปเล่นข้างนอกก่อนไป” เวลาที่แม่ร้องไห้ แต่รดิศก็ออกไปไหนไม่ได้ เพราะฝนกำลังตกลงมา เขาจะออกไปนั่งที่ชานบ้าน และร้องเพลงฝนเอยทำไมจึงตก และฟังเสียงพ่อปลอบแม่ไม่ให้ร้องไห้
แม่ร้องไห้อยู่เสมอ ร้องไห้อยู่ตลอด เพียงมีอะไรมากระทบใจเล็กน้อยหรือไม่มีอะไรเลย แม่ก็สามารถหดหู่และนำไปสู่การระเบิดน้ำตาได้แล้ว พ่อพยายามปลอบแม่ทุกวิถีทาง ทั้งขู่ ทั้งดุ ทั้งปลอบโยน ให้กำลังใจต่างๆ นานา ทุกวิธีการ แต่ก็ไม่เคยช่วยแม่ได้ พ่อบอกให้แม่ทำใจให้เข้มแข็ง มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ และอย่าเศร้า แต่การบอกว่าอย่าเศร้าสำหรับคนเศร้าเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ แม่เริ่มบ่นว่าชีวิตที่ไม่มีวันหายเศร้ามันยากเกินไปสำหรับแม่ และแล้ววันหนึ่ง วันที่ฝนตกหนัก แม่ที่ร้องไห้อยู่ก็เดินออกไปจากบ้าน รดิศนั่งอยู่ที่เฉลียงหน้าบ้าน มองเห็นแม่เดินออกไป
“ไม่เป็นไรมั้ง แม่เขาคงออกไปเดินตากฝนให้หัวเย็น อีกไม่นานก็คงรู้สึกดีขึ้นและกลับมาเอง” พ่อบอกและลูบหัวรดิศเบาๆ ใบหน้าพ่อในยามนั้นดูกังวลแต่ก็เหน็ดเหนื่อย พ่อเหน็ดเหนื่อยกับการปลอบแม่มาครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดหลายปีที่แต่งงานกัน แต่เพราะความรักความอดทนของพ่อทำให้พ่อไม่เคยบันดาลโทสะ ไม่เคยกราดเกรี้ยวหรือคิดจะละทิ้งแม่ไป ทว่ายังเฝ้าประคบประหงมแม่เสมอมา
รดิศจำไม่ได้แล้วว่าแม่เริ่มเศร้าเพราะอะไร ชายหนุ่มคิดเอาเองในภายหลังว่าไม่น่าใช่เพราะพ่อ แม่บอกเสมอว่าแม่โชคดีเพียงใดที่ยังมีพ่อบนโลกนี้ พ่อที่คอยกอดแม่ไว้เวลาแม่ร้องไห้ อาจเป็นไปได้ว่าความเศร้าของแม่เกิดมาจากเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นก่อนรดิศจะเกิด มันคงอยู่กับแม่มานานแสนนานแล้ว และไม่สามารถออกไปจากตัวแม่ได้
น่าเสียดายที่มันไม่ใช่ความเศร้าธรรมดาๆ แต่มันเป็นโรคร้ายชนิดหนึ่งที่สามารถรักษา หากมันเป็นความเศร้าธรรมดาๆ ความจริงใจและอ่อนโยนของพ่อคงสามารถขจัดมันไปได้ แต่เมื่อมันเป็นโรคทางอารมณ์ที่เรียกว่าโรคซึมเศร้า วิธีการใดๆ ของพ่อจึงช่วยแม่ไม่ได้เลย
ค่ำวันนั้นที่ฝนตก และบรรยากาศโดยรอบมืดสนิท แม่ที่สวมเสื้อสีขาวเดินย่ำต๊อก ต๊อก ออกไปไกลขึ้น ไกลขึ้น ฝ่าสายฝนโดยไม่กางร่ม รดิศน้อยเห็นภาพแม่ตัวเล็กลงทุกทีๆ เสื้อสีขาวดูเป็นจุดเล็กลงๆ ไกลออกไปๆ หลังจากวันนั้นแม่ไม่กลับมาอีก แม่กระโดดให้รถไฟชน และจากไปในวันนั้น
ตั้งแต่นั้น รดิศก็เปลี่ยนจากเด็กที่แค่เบื่อฝนที่ชอบมาทำให้แม่ร้องไห้ กลายมาเป็นคนเกลียดฝน และเที่ยวมองเห็นเรื่องร้ายๆ มากมายที่เกิดขึ้นในวันฝนตก ถ้ามันเกิดขึ้นในวันธรรมดา ชายหนุ่มจะไม่สนใจ แต่ถ้ามีเรื่องซวยอะไรมาประจวบเหมาะในวันฝนตก รดิศจะอารมณ์เสียเสมอ
รดิศไม่เคยถามพ่อว่าทำไมไม่พาแม่ไปหาหมอ เขาไม่เคยพูดเรื่องแม่กับพ่อ เพราะเชื่อว่าพ่อเสียใจมากพออยู่แล้ว แต่เขาเองก็รู้เมื่อโตขึ้นว่า หากพ่อพาแม่ไปหาหมอ บางที แม่อาจจะไม่โศกเศร้าถึงขนาดนั้น
รดิศไม่เคยกล่าวโทษที่วันนั้นพ่อไม่ตามแม่ออกไป การดูแลคนที่ร้องไห้ตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องง่าย พ่อเองก็เป็นคน มีสิทธิจะเหนื่อยใจเหลือเกินได้ มีสิทธิจะอยากพัก ให้แม่ไปที่ไหนสักที่แล้วอยู่กับความคิดของตัวเองสักพักได้ พ่อมีสิทธิจะเศร้าเหมือนกัน และขอเวลาเยียวยาตัวเองสักพัก รดิศไม่เคยคิดว่าพ่อผิด แต่พ่อก็ยังโทษตัวเองตลอดมา
บางทีถ้าพ่อผิด คงผิดแค่ที่ว่าพ่อไม่พาแม่ไปหาหมอ แต่พ่อก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าโรคของแม่ต้องพาไปหาหมอถึงจะหาย พ่อคิดว่าแม่แค่เศร้า และถ้ามีจิตใจเข้มแข็งเมื่อไหร่ก็คงจะดีขึ้นได้ พ่อไม่รู้ว่าในหัวสมองมนุษย์มีสารสื่อนำประสาทอยู่ และไอ้สารนี้มันแปรปรวนกันได้ คนที่เกิดอาการอย่างนี้ต้องการยาเพื่อจะรักษาสารสื่อนำประสาทให้หาย เป็นสิ่งที่จำเป็นพอๆ กับกำลังใจและความอ่อนโยนที่พ่อมี
พ่อไม่รู้ เพราะอย่างนั้นแม่จึงไม่ได้รับการรักษา แต่รดิศจะโทษพ่อได้อย่างไร รดิศโทษพ่อไม่ได้ เขาไม่อาจโทษใคร แต่เขารู้สึกว่าตั้งแต่แม่จากไป หัวใจเขาอ่อนแอ
รดิศกลัวเสมอมาว่าตัวเองจะเป็นแบบเดียวกับแม่ เขาอาจต้องการการรักษา แต่เขาก็ไม่สามารถบอกพ่อได้ ถ้าพ่อรู้ว่าเขามีอาการหดหู่ใจ ชายหนุ่มคิดว่าพ่อคงกังวลใจมากจนน่ากลัว พ่อเสียแม่ไปแล้ว และที่กลัวที่สุดคือกลัวจะเสียเขาอีกคน
มองในแง่ดี บางทีเขาอาจจะแค่หดหู่ใจธรรมดา แต่ที่รู้สึกว่าตัวเองต้องการรักษา อาจเป็นเพราะว่าเขากลัวว่าตัวเองจะเป็นอย่างแม่ ที่หากไม่รักษาจะทนไม่ได้และตายไป เพราะงั้นเมื่อเศร้าเล็กน้อยจึงผวา ว่าควรจะไปหาหมอหรือไม่ รดิศไม่รู้ว่าอาการของตัวเองอยู่ในขั้นไหน เขารู้ได้แต่ว่ามันสับสนเหลือเกิน
ทำไมผู้หญิงคนนั้นต้องเดินฝ่าสายฝนไปเหมือนวันที่แม่ตาย ทำไมเธอต้องใส่เสื้อสีขาว รดิศคิดตัดพ้อสิ่งที่ไม่ได้ผิด ภาพของผู้หญิงคนนั้นเดินฝ่าฝนทำให้หัวใจของเขาสลาย ชายหนุ่มพยายามนึกภาพรอยยิ้มของเธอวันนี้ ปลอบใจตัวเองว่าเธอจะต้องไม่ตาย ไม่มีใครทำเหมือนแม่อีกหรอก เขาแค่หวาดกลัวไปเอง
เขาไม่รู้หรอกว่าความจริงแล้วมันคืออะไร เขารู้แค่ว่าจิตใจของเขาในยามนี้เปราะบางยิ่งนัก ไม่เท่เลยนะ เขาเป็นผู้ชาย ควรจะเข้มแข็ง...
“ถึงจะเข้มแข็งแต่ก็ยังต้องร้องไห้ค่ะ” เสียงของเธอลอยกลับมาในห้วงคิด
แล้วรดิศก็ก้มหน้าลง น้ำตาไหลออกมา
“ครับพ่อ เดี๋ยววันศุกร์บ่ายๆ ผมกลับบ้าน ฝากซื้ออะไรมั้ยฮะ” รดิศกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ เท้าก็เดินย้อนศรกับเส้นทางเมื่อวันก่อน มุ่งหน้าเข้าสู่อาคารเรียนรวมสังคมศาสตร์ ปลายสายตอบกลับมาว่าถ้าจะเข้าบ้านให้โทรมาบอกด้วยจะฝากซื้อข้าวเย็น ชายหนุ่มเอ่ยรับอีกคำสองคำก่อนจะวางสาย
พ่อคงฝากซื้อข้าวขาหมูเหมือนเคยแหละ พ่อน่ะชอบข้าวขาหมู “บอกเขาติดมัน เอาหนังเยอะๆ นะลูก” พ่อจะสั่งให้เขาซื้อแบบนั้นให้ทุกทีเวลาเขาแวะอนุเสาวรีย์ก่อนกลับบ้าน รดิศว่าจะไม่ซื้อให้หลายทีแล้ว กลัวว่าพ่อเองก็แก่แบบนี้กินของแบบนั้นแล้วเดี๋ยวจะป่วยเอา แต่พอนึกถึงความชอบของพ่อ ก็ใจอ่อนซื้อไปทุกที
แล้วถ้าพ่อป่วยไป จะมาโทษตัวเองทีหลังรึเปล่านะ เขาคิดขณะซุกมือถือกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เหลียวมองออกไปยังท้องฟ้าด้านนอก เมฆอ้วนๆ สีเทาอ้อยอิ่งอยู่บน ชายหนุ่มถอนหายใจ คิดว่าเย็นนี้ฝนคงตกเพราะเขาเป็นคนดวงซวยในเรื่องฝนอยู่แล้ว
ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เหตุการณ์ร้ายๆ มักเกิดขึ้นในวันฝนตก รดิศเกลียดวันฝนตก เกลียดฝน เกลียดหน้าฝน แต่กระนั้นมันก็เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เขาต้องอยู่กับมันให้ได้ รดิศถอนหายใจอย่างรำคาญ ก่อนจะเดินเข้าห้องเรียนไป
บ่ายสามโมง รดิศไม่มีเรียนแล้ว ตลอดทั้งวันนี้เขารู้สึกหนักไปทั้งตัวแถมยังปวดหัวแปลกๆ ท่าทางว่าคงจะเป็นไข้เอาจริงๆ หลังจากตากฝนเมื่อคืน
กินยาแล้วนอนก็คงหาย ชายหนุ่มคิดพลางนวดหัวตาของตัวเองสองสามครั้ง เขาไม่คิดว่าตัวเองจะป่วยหนัก หรือเอาเข้าจริงก็กำลังภาวนาว่าอย่าป่วยหนักเลยจะดีกว่า เพราะเขาไม่ชอบการไปโรงพยาบาล
ใยจะต้องเสียเงินเข้าโรงพยาบาลเล่า ในเมื่อเราสามารถขอยาแบบเดียวกันจากห้องพยาบาลได้ ค่าสวัสดิการของมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งที่ราคาสูง ดังนั้นถ้าไม่ใช้ก็เหมือนจ่ายเสียเปล่า
ห้องพยาบาลของมหาลัยอยู่ที่ชั้นล่างสุดของอาคารเรียน ติดกับโถงทางออก แต่คนละฝั่งกับที่เขาเดินเข้ามาเมื่อวันก่อน รดิศแวะที่นั่นก่อนกลับหอเพื่อหวังจะขอพาราสักชุด เขาก้าวเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูตามหลังตัวเอง และก็ต้องรีบผวาไปเปิดประตูใหม่อีกรอบ เพราะเกือบปิดกระแทกเข้ากับเด็กผู้หญิงที่เดินตามเข้ามาพอดี
เธอคนนั้นก้มตัวลงยกมือป้องท้อง ร้องหวา แทนที่จะใช้มือยันประตูไว้อย่างที่ควร
“ขอโทษครับ ขอโทษ” รดิศเอ่ยตามมารยาทมากกว่าจะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ “ไม่เป็นไรค่ะ” เธอคนนั้นพึมพำและเงยหน้าขึ้นมองเขา
และเธอก็คือ เธอคนนั้น หญิงสาวเจ้าน้ำตาที่เดินหายไปในคืนฝนตก
รดิศจ้องมองเธอและได้แน่ใจว่าเธอก็จำเขาได้เหมือนกัน
###
มันช่างเป็นช่วงเวลาที่เก้อเขินหากคุณสบตาเข้ากับใครสักคนและถอนสายตาออกโดยไม่แน่ใจว่าจะพูดอะไร รดิศไม่รู้ว่าควรทักเธอดีไหม หรือจะทักอย่างไร จึงได้แต่หันไปทางอื่นแล้วเดินเสเข้าไปที่โต๊ะของเจ้าหน้าที่ที่รอให้บริการอยู่ เอ่ยเสียงพร่าๆ ว่า “น่าจะเป็นไข้ ขอยาแก้ไข้แก้ปวดสักชุดนะครับ”
“ลงชื่อไว้” พนักงานตอบมาเสียงเนือยๆ และหันมาทางหญิงร่างเล็กที่อยู่ข้างหลังเขา “หนูเป็นอะไรล่ะ”
“ปวดหัว ตัวร้อนค่ะ...” เธอเอ่ยเสียงเบาหวิว
“ลงชื่อไว้ เอาพารามาสอง” พนักงานตะโกนเข้าไปที่โต๊ะด้านใน
“เอ่อ คือ...” เธอคนนั้นเริ่มพูด แต่อยู่ๆ ก็หันมามองรดิศที่กำลังเขียนชื่อกับอาการของตัวเองลงในใบบันทึกการเข้าใช้บริการอยู่ รดิศหันไปมองเธออย่างงงๆ ทำให้เธอดูลังเลใจจนไม่กล้าจะเอ่ยออกมา เขานึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ควรจ้องมองเธอ จึงแกล้งทำเป็นก้มหน้าก้มตาเขียนต่อไป แต่หูของเขากลับอยากรู้เสียจริงๆ ว่ามีอะไรที่เธออยากจะพูดแต่นึกอายที่จะพูดต่อหน้าเขา
เสียงของเธอดังอยู่ข้างๆ หู ระหว่างที่ตัวอักษรในใบบันทึกการใช้บริการของรดิศโย้เย้เพราะคนเขียนเอาแต่ตั้งใจแอบฟัง
“หนูท้องค่ะ กินพาราได้รึเปล่าคะ” เสียงถามออกหวั่นๆ นั้นทำให้เขาหยุดเขียนแต่ก็ไม่กล้าที่จะหันไปมอง ความเงียบโรยตัวลงในห้องชั่วแว่บหนึ่ง พี่เจ้าหน้าที่หันไปถามคนจัดยาว่า “ท้องกินพาราได้รึเปล่า” ด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ดูปกติไม่มีอะไร
“ท้องเหรอ” เสียงห้องข้างในตอบกลับมาดูแปลกใจ เจ้าของเสียงนั้นหยุดนึกชั่วครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ได้สิ พาราได้แต่แอสไพรินไม่ได้ ป่วยมากรึเปล่า ถ้าไม่ป่วยมากยังไม่ต้องกินยา” คนที่นั่งอยู่ข้างในโผล่หัวออกมาในห้องให้บริการและแนะนำว่า “หนูกลับไปนอนพักเยอะๆ กินผลไม้ กินน้ำเยอะๆ ไปก่อน เดี๋ยวก็หายเอง ถ้ายังไม่หายก็ไปหาหมอเลย ยาอันที่จริงกินได้ แต่ลองรักษาเองดูก่อน ไว้เป็นหนักๆ จริงๆ ค่อยกิน แต่ถ้าเป็นหนักนี่หนูไปหาหมอเลยนะ อย่ากินยาเอง เข้าใจมั้ย”
“ค่ะ” เธอเอ่ย น้ำเสียงเหมือนกำลังยิ้มอยู่ “งั้นไม่เอายาไปนะคะ”
“อืม งั้นยังไม่ต้องแล้วกัน” เสียงของคนจัดยาตอบ
“งั้นไม่ต้องเขียนชื่อนะคะ” เธอถาม นิ้วเล็กๆ ของเธอชี้มาโดนรดิศ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ใส่ใจ
“ไม่ต้องเขียนๆ” เสียงเดิมตอบ
“ขอบคุณค่ะ” เสียงนั้นกล่าวสดใสขึ้น แล้วรดิศก็รู้สึกได้ว่าเธอผลักประตูออกจากห้องพยาบาลไป
“ท้องเหรอ” พี่เจ้าหน้าที่พูดหลังจากเห็นเธอออกจากห้องไปแล้ว
“ถามแบบนี้ก็แปลว่าคงจะเก็บไว้แหละ” คนจัดยาบอกแล้วหดหัวกลับเข้าไปในห้องของตัวเองตามเดิม
นั่นสินะ ถ้าหากว่าไม่คิดจะเก็บลูกไว้ล่ะก็ คงไม่สนใจหรอกว่าจะกินยาพาราแล้วท้องจะเป็นอะไรรึเปล่า คงจะยิ่งดีเสียอีก ถ้ากินยาผิดๆ แล้วลูกหลุดออกมาเลย เพราะอย่างนี้เองพี่คนจัดยาถึงบอกว่าแปลว่าเธอคงอยากจะคลอดเด็กคนนั้น รดิศเขียนใบบันทึกการใช้บริการเสร็จและเงยหน้าขึ้น เขามองออกไปนอกประตูกระจก และเห็นผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่หน้าห้องพยาบาล เธอกำลังมองออกไปนอกตึก มองออกไปที่ท้องฟ้าที่ยามนี้เป็นสีฟ้าสดใส เมฆอ้วนๆ สีเทาพวกนั้นลอยหายไปไหนไม่รู้แล้วตั้งแต่สายๆ ตอนนี้แดดรังสิตแรงจัดจนแทบเห็นละอองสีทองในอากาศ
รดิศมองดูเธอหยิบร่มออกมาจากกระเป๋า กางออกกันแดด เธอเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้งและยิ้มกับตัวเอง ก่อนจะก้าวเดินออกไป ภาพอันสดใสนั้นตัดฉับเข้ากับภาพคืนก่อนที่ถูกบันทึกไว้ในความทรงจำ ภาพคืนที่ฝนตกหนักและมืดสนิท มีเพียงแสงสีขาวจ้าแบบบาดตาจากดวงไฟนีออนฉายอย่างเย็นชาอาบร่างเธอไว้ ใบหน้าของเธอที่กำลังร้องไห้
เขาคว้ายา เอ่ยขอบคุณ และเดินออกจากห้องพยาบาล เธอหันมามองเขาและยิ้มออกมาอย่างเขินๆ ดูท่าเธอคงรู้สึกอายที่ถูกเขาพบเจอในเวลาที่แย่ที่สุดเมื่อวาน และยังถูกรู้ว่ากำลังท้องอีก
รดิศมองหน้าเธอ ปากคอแห้งผาก เธอหันหลังกลับไปและออกเดิน ฉับพลันนั้นเขาตัดสินใจเอ่ยเรียกเธอไว้ “เดี๋ยว”
เธอหันมามองเขา รดิศคิดไม่ออกว่าอยากพูดอะไร แต่เขาอยากพูดกับเธอ
หลายคนเชื่อว่าเด็กๆ คือความหวังของผู้ใหญ่ เวลาผู้ใหญ่เห็นโลกของตัวเองเสื่อมโทรม เต็มไปด้วยความเลวร้าย พวกเขาจะมีความหวังได้ก็ต่อเมื่อมีคนในรุ่นต่อไปให้ฝากความหวัง หวังที่ว่าคนรุ่นหน้าจะไม่พลาดซ้ำเดิม จะทำให้ดีกว่าเดิม
เด็กทารก คือ ความหวัง
คนมีความหวัง คนที่เชื่อในความหวัง คือคนที่สามารถทำได้ทุกอย่าง คือคนที่เข้มแข็งที่สุดในโลก
“เธอน่ะ ถึงจะร้องไห้แต่ก็เข้มแข็งสินะ” รดิศเอ่ยออกไป เขาไม่รู้หรอกว่าควรจะพูดแบบนั้นหรือเปล่า แต่หลายอย่างในจิตใจขับให้เขาพูดออกไปแบบนั้น
น่าแปลกที่คำพูดของเขาทำให้เธอยิ้ม และตอบมาว่า “ถึงจะเข้มแข็งแต่ก็ยังต้องร้องไห้ค่ะ”
หัวใจของรดิศวูบไหว เขาหาคำปลอบแล้วเอ่ยออกไป “ถึงจะต้องร้องไห้ แต่เธอก็น่าชื่นชมมากนะ รู้มั้ย พยายามเข้าล่ะ”
สีหน้าของเขาคงแปลกพิลึก เขาไม่เคยพูดแบบนี้มาก่อน และไม่รู้ว่าพูดออกไปได้ยังไง แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกเลยว่ามันลิเกจนน่าอาย รดิศยังอยากรู้จริงๆ ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำหน้ายังไง เขาคิดว่ามันคงตลก แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้นึกขันเขา เธอแค่ยิ้มและบอกว่า “ขอบคุณค่ะ”
จากนั้นเธอก็ยิ้มอีกนิดหน่อย และหันหลังเดินจากไป เดินไปสู่โลกภายนอกที่เปิดออกสู่ท้องฟ้าสดใส รดิศมองตามภาพนั้น เธอค่อยๆ เดินไกลออกไป คล้ายกับวันนั้น แต่ต่างออกไป วันนี้ภาพสดใส อากาศดี ผู้หญิงคนนี้กำลังยิ้ม
อย่างน้อยเธอจะไม่ฆ่าตัวตาย รดิศบอกตัวเอง เจ็บเสียดในใจ มองภาพเธอเดินจากไป ภาพหญิงสาวสวมเสื้อสีขาวที่เดินจากไปในวันฝนตกซ้อนขึ้นมา ครู่เดียวก็พร่าไปด้วยน้ำตา
รดิศกะพริบตาและสูดลมหายใจไม่ให้ร้องไห้อีก เขาปวดหัวขึ้นมาอีกรอบ ท่าทางจะเป็นไข้จริงๆ แล้วล่ะ ชายหนุ่มหย่อนยาลงในกระเป๋า และเดินตรงไปข้างหน้า ทางเดียวกับที่ผู้หญิงคนนั้นเดินไป แต่ไม่เห็นร่างของเธออีกแล้ว เขามุ่งหน้ากลับหอ ในคืนนั้นชายหนุ่มไม่ทำงานอื่นใดอีก เขาอาบน้ำ กินข้าว กินยา แล้วก็นอนหลับไป
พอฤทธิ์ยาหมดลง ตอนเที่ยงคืนตรงพอดี รดิศสะดุ้งตื่นเพราะตัวร้อนจัด เขาลุกขึ้นงุนงง มีเพียงตัวเองคนเดียวที่จะช่วยได้ ในหัวหนักอึ้ง การลากร่างไปหาน้ำมาดื่มสักแก้วยังยากเย็นยิ่งนัก รดิศกินยาอีกเม็ด เอาผ้าชุบน้ำแปะหน้าผาก แล้วกล่อมตัวเองให้หลับไป เสียงฝนข้างนอกตกจั้กๆ อีกแล้ว ผ้าข้างนอกนั่นยังไม่ได้เก็บ เขาป่วยหนักเพราะฝน เรื่องซวยเก่าๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในวันฝนตก
เพราะฝน เพราะไม่สบาย เพราะอยู่คนเดียว ทำให้รู้สึกเหงา ทำให้คิดถึงความสิ้นหวังออกมาได้ล้านแบบ เธอคนนั้นจะเศร้าใจอยู่รึเปล่านะ ฝนตกแบบนี้ทำให้คนเศร้า เธอมีลูกในท้อง อาจจะกำลังกังวล วินาทีนี้ เธอจะร้องไห้อยู่รึเปล่านะ รดิศคิดเรื่องผู้หญิงคนนั้นแล้วรู้สึกเศร้า
เธออาจจะอยู่กับแฟนก็ได้ ทุกอย่างอาจจะเป็นเรื่องดีมากกว่าที่เขาคิด รดิศพยายามปลอบตัวเอง แต่เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนั้น มันไม่น่าง่ายแบบนั้น เขานึกถึงภาพเมื่อวานที่เธอเดินออกไป
เธอกังวลกับยาที่กินว่าจะมีผลอะไรกับลูกน้อยของเธอหรือไม่ แต่เธอเศร้าใจขนาดไหน ถึงเดินฝ่าฝนออกไป ทั้งที่รู้ว่ามันอาจทำให้เธอไม่สบาย และเธอก็ไม่น่าจะอยากป่วย ถ้าเธอห่วงเด็กน้อยของเธอ
เรื่องของเธอทำให้เขาเศร้า ผู้หญิงเสื้อขาวคนนั้นเดินลับไปไกลเรื่อยๆ ในวันฝนตก
สุดท้ายชายหนุ่มก็นอนต่อไปไม่ไหว ผ้าที่แปะอยู่บนหน้าผากร้อนเหมือนผ้าต้ม เขาลุกขึ้นมา เหวี่ยงผ้าลงไปบนพื้น เสียงของเปียกๆ แล่นไปบนกระเบื้องฟังดูน่ารังเกียจ รดิศงอตัว แล้วก็ร้องไห้ออกมา
เวลาไม่สบาย คนเราจะอ่อนแอง่าย คืนฝนตก คนเราจะอ่อนแอง่าย
รดิศเกลียดฝน เกลียดตั้งแต่วันที่แม่ตาย รดิศรู้ว่าตัวเองอ่อนไหว แต่ก็ไม่รู้จะขอให้ใครช่วยดี
####
“ฝนเอยทำไมจึงตก เพราะกบมันร้อง กบเอยทำไมจึงร้อง เพราะท้องมันปวด...” สมัยที่ยังเด็ก เวลาแม่ร้องไห้ ฝนมักจะตกอยู่เสมอ
ไม่สิ เวลาฝนตก แม่มักจะร้องไห้อยู่เสมอ แม่ร้องไห้แม้จะไม่มีอะไรให้น่าเศร้า แต่แม่ก็จะเศร้าขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ และค่อยๆ จมลึกลงไปในบึงแห่งความโศกเศร้า พาตัวเองกลับขึ้นมาไม่ได้ ได้แต่หดหู่ลงๆ ราวกับถูกโคลนดูดเข้าที่ขา
พ่อจะบอกว่า “ออกไปเล่นข้างนอกก่อนไป” เวลาที่แม่ร้องไห้ แต่รดิศก็ออกไปไหนไม่ได้ เพราะฝนกำลังตกลงมา เขาจะออกไปนั่งที่ชานบ้าน และร้องเพลงฝนเอยทำไมจึงตก และฟังเสียงพ่อปลอบแม่ไม่ให้ร้องไห้
แม่ร้องไห้อยู่เสมอ ร้องไห้อยู่ตลอด เพียงมีอะไรมากระทบใจเล็กน้อยหรือไม่มีอะไรเลย แม่ก็สามารถหดหู่และนำไปสู่การระเบิดน้ำตาได้แล้ว พ่อพยายามปลอบแม่ทุกวิถีทาง ทั้งขู่ ทั้งดุ ทั้งปลอบโยน ให้กำลังใจต่างๆ นานา ทุกวิธีการ แต่ก็ไม่เคยช่วยแม่ได้ พ่อบอกให้แม่ทำใจให้เข้มแข็ง มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ และอย่าเศร้า แต่การบอกว่าอย่าเศร้าสำหรับคนเศร้าเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ แม่เริ่มบ่นว่าชีวิตที่ไม่มีวันหายเศร้ามันยากเกินไปสำหรับแม่ และแล้ววันหนึ่ง วันที่ฝนตกหนัก แม่ที่ร้องไห้อยู่ก็เดินออกไปจากบ้าน รดิศนั่งอยู่ที่เฉลียงหน้าบ้าน มองเห็นแม่เดินออกไป
“ไม่เป็นไรมั้ง แม่เขาคงออกไปเดินตากฝนให้หัวเย็น อีกไม่นานก็คงรู้สึกดีขึ้นและกลับมาเอง” พ่อบอกและลูบหัวรดิศเบาๆ ใบหน้าพ่อในยามนั้นดูกังวลแต่ก็เหน็ดเหนื่อย พ่อเหน็ดเหนื่อยกับการปลอบแม่มาครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดหลายปีที่แต่งงานกัน แต่เพราะความรักความอดทนของพ่อทำให้พ่อไม่เคยบันดาลโทสะ ไม่เคยกราดเกรี้ยวหรือคิดจะละทิ้งแม่ไป ทว่ายังเฝ้าประคบประหงมแม่เสมอมา
รดิศจำไม่ได้แล้วว่าแม่เริ่มเศร้าเพราะอะไร ชายหนุ่มคิดเอาเองในภายหลังว่าไม่น่าใช่เพราะพ่อ แม่บอกเสมอว่าแม่โชคดีเพียงใดที่ยังมีพ่อบนโลกนี้ พ่อที่คอยกอดแม่ไว้เวลาแม่ร้องไห้ อาจเป็นไปได้ว่าความเศร้าของแม่เกิดมาจากเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นก่อนรดิศจะเกิด มันคงอยู่กับแม่มานานแสนนานแล้ว และไม่สามารถออกไปจากตัวแม่ได้
น่าเสียดายที่มันไม่ใช่ความเศร้าธรรมดาๆ แต่มันเป็นโรคร้ายชนิดหนึ่งที่สามารถรักษา หากมันเป็นความเศร้าธรรมดาๆ ความจริงใจและอ่อนโยนของพ่อคงสามารถขจัดมันไปได้ แต่เมื่อมันเป็นโรคทางอารมณ์ที่เรียกว่าโรคซึมเศร้า วิธีการใดๆ ของพ่อจึงช่วยแม่ไม่ได้เลย
ค่ำวันนั้นที่ฝนตก และบรรยากาศโดยรอบมืดสนิท แม่ที่สวมเสื้อสีขาวเดินย่ำต๊อก ต๊อก ออกไปไกลขึ้น ไกลขึ้น ฝ่าสายฝนโดยไม่กางร่ม รดิศน้อยเห็นภาพแม่ตัวเล็กลงทุกทีๆ เสื้อสีขาวดูเป็นจุดเล็กลงๆ ไกลออกไปๆ หลังจากวันนั้นแม่ไม่กลับมาอีก แม่กระโดดให้รถไฟชน และจากไปในวันนั้น
ตั้งแต่นั้น รดิศก็เปลี่ยนจากเด็กที่แค่เบื่อฝนที่ชอบมาทำให้แม่ร้องไห้ กลายมาเป็นคนเกลียดฝน และเที่ยวมองเห็นเรื่องร้ายๆ มากมายที่เกิดขึ้นในวันฝนตก ถ้ามันเกิดขึ้นในวันธรรมดา ชายหนุ่มจะไม่สนใจ แต่ถ้ามีเรื่องซวยอะไรมาประจวบเหมาะในวันฝนตก รดิศจะอารมณ์เสียเสมอ
รดิศไม่เคยถามพ่อว่าทำไมไม่พาแม่ไปหาหมอ เขาไม่เคยพูดเรื่องแม่กับพ่อ เพราะเชื่อว่าพ่อเสียใจมากพออยู่แล้ว แต่เขาเองก็รู้เมื่อโตขึ้นว่า หากพ่อพาแม่ไปหาหมอ บางที แม่อาจจะไม่โศกเศร้าถึงขนาดนั้น
รดิศไม่เคยกล่าวโทษที่วันนั้นพ่อไม่ตามแม่ออกไป การดูแลคนที่ร้องไห้ตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องง่าย พ่อเองก็เป็นคน มีสิทธิจะเหนื่อยใจเหลือเกินได้ มีสิทธิจะอยากพัก ให้แม่ไปที่ไหนสักที่แล้วอยู่กับความคิดของตัวเองสักพักได้ พ่อมีสิทธิจะเศร้าเหมือนกัน และขอเวลาเยียวยาตัวเองสักพัก รดิศไม่เคยคิดว่าพ่อผิด แต่พ่อก็ยังโทษตัวเองตลอดมา
บางทีถ้าพ่อผิด คงผิดแค่ที่ว่าพ่อไม่พาแม่ไปหาหมอ แต่พ่อก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าโรคของแม่ต้องพาไปหาหมอถึงจะหาย พ่อคิดว่าแม่แค่เศร้า และถ้ามีจิตใจเข้มแข็งเมื่อไหร่ก็คงจะดีขึ้นได้ พ่อไม่รู้ว่าในหัวสมองมนุษย์มีสารสื่อนำประสาทอยู่ และไอ้สารนี้มันแปรปรวนกันได้ คนที่เกิดอาการอย่างนี้ต้องการยาเพื่อจะรักษาสารสื่อนำประสาทให้หาย เป็นสิ่งที่จำเป็นพอๆ กับกำลังใจและความอ่อนโยนที่พ่อมี
พ่อไม่รู้ เพราะอย่างนั้นแม่จึงไม่ได้รับการรักษา แต่รดิศจะโทษพ่อได้อย่างไร รดิศโทษพ่อไม่ได้ เขาไม่อาจโทษใคร แต่เขารู้สึกว่าตั้งแต่แม่จากไป หัวใจเขาอ่อนแอ
รดิศกลัวเสมอมาว่าตัวเองจะเป็นแบบเดียวกับแม่ เขาอาจต้องการการรักษา แต่เขาก็ไม่สามารถบอกพ่อได้ ถ้าพ่อรู้ว่าเขามีอาการหดหู่ใจ ชายหนุ่มคิดว่าพ่อคงกังวลใจมากจนน่ากลัว พ่อเสียแม่ไปแล้ว และที่กลัวที่สุดคือกลัวจะเสียเขาอีกคน
มองในแง่ดี บางทีเขาอาจจะแค่หดหู่ใจธรรมดา แต่ที่รู้สึกว่าตัวเองต้องการรักษา อาจเป็นเพราะว่าเขากลัวว่าตัวเองจะเป็นอย่างแม่ ที่หากไม่รักษาจะทนไม่ได้และตายไป เพราะงั้นเมื่อเศร้าเล็กน้อยจึงผวา ว่าควรจะไปหาหมอหรือไม่ รดิศไม่รู้ว่าอาการของตัวเองอยู่ในขั้นไหน เขารู้ได้แต่ว่ามันสับสนเหลือเกิน
ทำไมผู้หญิงคนนั้นต้องเดินฝ่าสายฝนไปเหมือนวันที่แม่ตาย ทำไมเธอต้องใส่เสื้อสีขาว รดิศคิดตัดพ้อสิ่งที่ไม่ได้ผิด ภาพของผู้หญิงคนนั้นเดินฝ่าฝนทำให้หัวใจของเขาสลาย ชายหนุ่มพยายามนึกภาพรอยยิ้มของเธอวันนี้ ปลอบใจตัวเองว่าเธอจะต้องไม่ตาย ไม่มีใครทำเหมือนแม่อีกหรอก เขาแค่หวาดกลัวไปเอง
เขาไม่รู้หรอกว่าความจริงแล้วมันคืออะไร เขารู้แค่ว่าจิตใจของเขาในยามนี้เปราะบางยิ่งนัก ไม่เท่เลยนะ เขาเป็นผู้ชาย ควรจะเข้มแข็ง...
“ถึงจะเข้มแข็งแต่ก็ยังต้องร้องไห้ค่ะ” เสียงของเธอลอยกลับมาในห้วงคิด
แล้วรดิศก็ก้มหน้าลง น้ำตาไหลออกมา