เสียงจักจั่นในป่าสน
นวนิยายขนาดสั้นรองชนะเลิศอันดับสอง รางวัลนักเขียนรุ่นเยาว์ เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 11 ประจำปี 2557
สารบัญและบทก่อนหน้านี้
7
หัวข้อรายงานหน้าชั้นของวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสนทนาคือ “แผนการในอนาคตของคุณ”
การรายงานของรดิศน่าเบื่อพอๆ กับที่การรายงานของณิชาน่าเบื่อ พวกเขาบอกเหมือนกันคือเรียนให้จบแล้วเข้าทำงานในบริษัท ใช้เวลาว่างอ่านหนังสือและก็ดูหนัง รดิศบอกกับตัวเองต่อหน้าทุกคนในชั้นเรียนว่าเขาจะซื้อรถยนต์ราคาถูกๆ สักคัน ส่วนณิชาพูดแค่ว่าเธอหวังจะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด ไม่มีคำใบ้ใดบอกว่าเธอหมายถึงลูกในท้องของเธอตอนนี้ มันเป็นเพียงประโยคที่ลอยออกมาคล้ายความมุ่งหมายในวันใดวันหนึ่งในอนาคตอันไกลโพ้น ไม่มีภาพความฝันอันยิ่งใหญ่ ไม่มีอาชีพอันใดที่ปรารถนา ไม่มีการอยากเที่ยวรอบโลก ไม่มีอะไรทั้งนั้น
สำหรับรดิศแล้วมันคงไม่แปลก เขาไม่มีฝันใดเกี่ยวกับตัวเอง เพียงแค่คิดว่าจะใช้ชีวิตให้ดีในระดับกลางๆ พอที่พ่อจะไม่ห่วงเท่านั้น สำหรับรดิศ อนาคตไม่ใช่สิ่งสำคัญ เพราะเมื่อมันจะเป็น มันก็จะเป็นไปเอง ปัจจุบันเป็นเช่นเดียวกับอนาคต ส่วนอดีต...หลอกหลอนยิ่งนัก
แต่ณิชาล่ะ รดิศคิดว่าณิชาเป็นสาวน้อยผู้อ่อนไหว ช่างฝัน เธอน่าจะมีความฝันอะไรสักอย่างที่มีไว้ตั้งแต่มัธยม อะไรบางอย่างที่เธออยากจะทำ รดิศหวังจะได้ยินเรื่องพวกนี้จากปากเธอบ้าง เขาคิดว่ามันต้องสว่างไสวแน่ๆ แต่เขาก็ไม่กล้าถาม เพราะเขารู้ว่ามันจบแล้ว มันจบตั้งแต่เธอท้อง ไม่มีฝันใดจะสานต่อได้เมื่อผู้หญิงมีลูก ไปเที่ยวหรือ เรียนต่อปริญญาโทหรือ พับเก็บไปเถอะ เพียงแค่เวลาส่วนตัวจะดูแลตัวเองยังหาได้ยากเลยเมื่อเราต้องดูแลเด็กอายุไม่กี่เดือนสักคน แต่รดิศก็อยากรู้นะ อยากรู้ว่าเธอเคยฝันว่าอะไรบ้าง
ใครสักคนอาจจะบอกว่าณิชาผิดเองที่เธอต้องจบความฝันของเธอ เพราะมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน เพราะท้องก่อนแต่ง เพราะเป็นผู้หญิงที่ไม่รู้จักคุมความต้องการทางเพศของตัวเอง ไม่เป็นกุลสตรี ทำให้พ่อแม่เสียใจ และอีกหลายตราบาปที่สังคมจะรุมกันประณาม พวกเขาจะบอกว่าสิ่งที่เธอได้รับก็สมกับที่เธอทำแล้ว เธอต้องรับผิดชอบการกระทำของตน
แต่ณิชาสมควรจะได้รับการประณามเยี่ยงนั้น และใช้ชีวิตต่อไปโดยมีลูกของเธอในฐานะ “ก้อนกรรมและการลงโทษ” อย่างนั้นน่ะหรือ ทำไมลูกของเธอจึงไม่เป็นของขวัญจากพระเจ้า เหมือนอย่างที่ลูกของคนอื่นๆ เป็นกันเล่า
ความจริงแล้วที่ความฝันของเธอจบลงไม่ใช่เพราะเรื่องวัยเรียนหรือก่อนแต่งงานอะไรเลย ความฝันที่ต้องจบลงเป็นเรื่องของผู้หญิงทุกคนที่ท้อง ไม่ว่าจะท้องแบบถูกธรรมเนียมปานใดก็ตาม ความฝันของคนเป็นแม่จะมีอันต้องพับเก็บเสมอ เพื่อดูแลเด็กเล็กๆ คนหนึ่งให้เต็มที่ที่สุด ปัญหาของณิชาเป็นปัญหาของแม่ทุกคน ไม่ใช่ปัญหาแม่วัยใส เธอแตกต่างจากเด็กมัธยมหรือสาวมหาลัยคนอื่นๆ ที่ท้อง เธอไม่ได้กังวลเรื่องจะเลี้ยงลูกยังไง เธอมีหนทางของเธอแล้ว จะขลุกขลักบ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา รดิศสรุปแบบนั้น
แต่ระหว่างคาบเรียน ณิชากลับดูไม่สดชื่นเอาเสียเลย เธอหน้าซีดลงเรื่อยๆ และใจลอยไม่มีสมาธิฟังการรายงานหน้าชั้นของคนอื่นๆ เขาเลยแตะแขนเธอเบาๆ และถามว่า “เป็นอะไรรึเปล่า” แต่เธอก็ทำเพียงแค่ส่ายหน้าเงียบๆ
ระหว่างทานข้าวกลางวันในโรงอาหารของมหาวิทยาลัย ณิชายิ่งดูซึมไปกว่าเคย เขาเลยคาดคั้นเอาอีกครั้งว่า “ณิกังวลอะไรอยู่ บอกพี่ก็ได้นะ”
เธอเงยมองหน้าเขา แลดูซีดเซียว อ่อนล้า ไร้เรี่ยวแรง เธอขยับปากเหมือนจะพูดแต่ยังตัดสินใจอยู่ รดิศจึงเอ่ยเบาๆ ว่า “พี่ฟังณิได้ทุกเรื่อง”
ณิชามองหน้าเขา ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “...หนูพูดโกหกในวิชาภาษาอังกฤษ หนูไม่มีทางไปทำงานบริษัทอะไรแบบนั้นได้ หนูต้องเลี้ยงลูก”
รดิศพยักหน้า เขายิ้ม “จะกังวลอะไรล่ะ ไม่มีใครบอกว่าต้องพูดความจริงนี่ หลายคนก็พูดพล่ามเพ้อฝันไปเรื่อยแหละ ไม่มีใครจริงจังอะไรกับมันด้วยซ้ำ แค่พูดให้ถูกหลักภาษาก็พอนี่”
“ค่ะ อันนั้นหนูรู้ แต่ว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่นั่น... ปัญหามันอยู่ที่ว่า หนูกำลังคิดว่าทำไมหนูไม่พูดความจริง... ทำไมหนูถึงไม่กล้าบอกคนอื่นๆ ว่าหนูท้องและจะดรอปเรียน”
“จะบ้าหรือณิ พูดไปแบบนั้นทุกคนก็แตกตื่นกันพอดีสิ ไม่เห็นต้องพูดความจริงเลย ถ้าพูดไปณิอาจจะลำบากได้นะ” รดิศบอก แต่ณิชามองหน้าเขา และพูดว่า “หนูกำลังสั่นคลอนค่ะพี่ หนูบอกว่า หนูเชื่อว่าการตัดสินใจของหนูมันถูกต้องแล้ว และไม่สนใจว่าคนอื่นๆ จะคิดยังไง หนูชอบพูดว่า คนหลายคนเอาแต่สนใจสิ่งที่คนอื่นคิดจนลืมสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่ทำไม ถ้าหากหนูไม่สนใจจริง ทำไมหนูถึงไม่สามารถบอกออกไปได้ล่ะคะ”
“ณิไม่จำเป็นต้องบอกหรอก ถึงณิจะไม่สนใจจริงๆ แต่มันก็ไม่สนุกที่จะมีคนมาตัดสินณิ จริงไหม ต่อจากนี้ณิยังต้องเจอคนมาตัดสิน มาดูถูกอีกมาก ดังนั้น อะไรที่เลี่ยงได้ก็เลี่ยงไว้บ้างเถอะ ไม่ต้องพาตัวเองไปชนทุกปัญหาหรอก มันไม่ได้ทำให้เราดูเป็นคนกล้ามากขึ้น เราไม่ต้องกล้าหาญมากหรอก เราแค่ต้องรักษาใจเราไว้ให้ได้ก็พอแล้ว พี่ไม่อยากให้ใครมาตัดสินณิหรอกนะ พี่กลัวณิจะเสียใจ” รดิศพูดไปเรื่อยๆ ณิชาจ้องหน้าเขาไม่วางตา เธอไม่ตอบอะไร ทำให้เขาต้องพยายามสรรหาคำมาเอ่ยเพิ่มอีก ทั้งที่เขาไม่แน่ใจนักว่าควรปลอบอย่างไร “พี่เข้าใจว่าณิเข้มแข็ง และก็เปิดเผย อยากจะพูดความจริง อยากจะยอมรับทุกอย่างได้อย่างดี แต่บางทีถ้าเราตรงไปตรงมามากเกินไปจะลำบากเอาได้นะ อย่าคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ลืมมันไปเถอะ แค่นี้ณิก็แข็งแกร่งมากพอแล้วนะ ที่สามารถเผชิญกับเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้โดยที่ไม่เป็นอะไรเลย”
สิ้นคำของเขา น้ำตาของณิชาก็กลิ้งลงมาตามร่องแก้ม รดิศเห็นแล้วใจหาย เขามองหน้าเธอ แทบไม่กล้าเอ่ยอะไรสักคำ เขาคงพูดอะไรบางอย่างผิด แต่ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเขาผิดไปที่ตรงไหน “พี่ขอโทษ” เขาละล่ำละลัก “พี่ขอโทษนะ พี่คงพูดอะไรไม่...ไม่ดีไป”
“เปล่าหรอกค่ะ” ณิชาปาดน้ำตา แววตาของเธอเข้มแข็งขึ้นชั่วขณะก่อนจะพร่าด้วยน้ำตาดังเดิมราวกับเจ้าของพยายามจะตั้งสติแล้วแต่กลับทำไม่ได้ “พี่ไม่ได้พูดผิดหรอกค่ะ พี่พูดถูกทุกอย่างและหนูรู้ว่าพี่พยายามให้กำลังใจ”
เธอพยายามกลั้นน้ำตา ก่อนจะจ้องหน้าเขา “แต่พี่คิดจริงๆ หรือคะว่าหนูไม่รู้สึกอะไรเลย”
คำพูดของณิชาตกลงกลางใจรดิศและทำให้ทั้งตัวของเขาเย็นวาบ
มันไม่ง่ายที่เธอจะผ่านเรื่องทั้งหมดมา เขาเอาแต่มองว่าเธอช่างเข้มแข็งจนน่าชื่นชม แต่เบื้องหลังสิ่งที่เธอแสดงออก เธอได้ผ่านสิ่งที่ไม่ง่าย เป็นไปไม่ได้ที่ภายในเธอจะไม่ไหวลู่ลมแม้เพียงครั้งเดียว
คงจะนับร้อยครั้งแล้วกระมัง ที่ต้องร้องไห้เจียนตาย ก้าวย่างยากเย็นจนแทบซวนเซล้ม
คล้ายกับทำนบบางอย่างในตัวของณิชาพังทลายลง ฉากหน้าที่เธอเคยดึงขึ้นบนสีหน้าเพื่อกำบังความจริงเลือนหาย เธอเริ่มเอ่ยปากเล่าความในใจที่อัดอั้นมานาน “ตอนแรกที่หนูรู้ หนูทั้งกังวลทั้งกลัว หนูไม่ใช่แม่พระคนดีอะไรหรอกพี่ หนูก็คิดเหมือนกันว่าอยากเอาออก แต่หนูก็กลัวอยู่ดี หนูอาจจะตายระหว่างเอาออก และยิ่งคิดหนูยิ่งทำไม่ไหว หนูอยากให้ลูกได้เกิด แต่หนทางที่ทอดข้างหน้าถ้าหนูเลือกทางนี้ มันก็น่ากลัวมาก พอมองไปแทบไม่เห็นเลยว่าปลายทางจะเป็นยังไง สองข้างทางมีแต่ความลำบาก สิ่งที่เคยฝันเคยหวังไว้ว่าอยากจะทำ กลับต้องล้มลงไปจนหมด เหมือนชีวิตพลิกผัน หลายคนคงบอกว่าเพราะหนูทำตัวเอง แต่หนูไม่คิดว่าหนูทำผิดจากคนอื่นๆ ทุกคนก็ทำดังนี้กัน แต่พวกเขาเอาออก...” เธอมองตาเขา นิ่งไปหลายวินาทีก่อนจะเอ่ยต่อ “หลายสัปดาห์ที่หนูทะเลาะกับแม่ กับทุกคนที่บ้าน หนูบอกพี่ว่าหนูไม่ร้องไห้ แต่ความจริงหลายครั้งที่ร้องไห้คนเดียว หนูสับสน มืดไปหมด ไม่รู้จะทำยังไง หนูคิดจะย้อนกลับไปเอาออกตั้งหลายหน แต่มันคงเป็นทางที่หนูเลือกแล้ว หนูย้อนกลับไม่ได้ หนูกลัวแต่ก็ต้องไปต่อ ทุกวันนี้ก็ยังกลัว แต่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าหนูปกติ ไม่พูดอะไร ไม่แสดงอะไรออกมา ไม่อยากให้ใครต้องเป็นห่วง”
รดิศมองหน้าณิชา นิ่งงัน เขาไม่เคยคิดถึงความโศกเศร้าของเธอมาก่อน ที่ผ่านมาเขาจมอยู่ในความโศกเศร้าของตัวเอง เงยหน้ามองณิชาและปรารภว่าเธอช่างสว่างนัก แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าลึกลงไป เธอเจอเรื่องหนักหนาเพียงกันหรืออาจจะยิ่งกว่าเขา ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่น่าจะรู้ได้ง่ายๆ อยู่แล้ว แต่เขากลับไม่เคยใช้หัวคิด ไม่เคยมองลึกลงไปใต้ใบหน้า ใต้แววตาที่เธอใช้ปกปิดความจริง เพียงเพราะไม่อยากให้คนรอบตัวกังวลใจ
อาจเรียกได้ว่าเขาไม่เคยคิดถึงใจณิชาจริงๆ เลย
หญิงสาวมองหน้าเขา ก้มหน้าเอ่ยเบา “หนูคงพูดมากเกินไปแล้ว ขอโทษนะคะที่พูดเรื่องไร้สาระกับพี่ ลืมมันเสียก็ดีนะคะ หนูสบายดีค่ะ และหนูก็ไม่เป็นไร อย่าห่วงเลยค่ะ”
และเธอก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง ฉากหน้าที่เข้มแข็งบดบังในใจที่ไหวเอน พยายามพยุงตัวเองเพื่อไม่ต้องเป็นภาระใคร
รดิศอยากจะเอื้อมมือออกไปดึงเธอมากอดไว้ ให้ร้องไห้ต่อหน้าเขาและบอกว่าไม่เป็นไร ต่อหน้าเขานั้นไม่ต้องแสร้งเข้มแข็งก็ได้ เขาจะรับฟังปัญหาของเธอเอง และจะช่วย...
ฉับพลัน รดิศถูกโจมตีด้วยคำถามของอรุษ จะช่วยงั้นหรือ เขาจะช่วยณิชาได้จริงๆ งั้นหรือ เขาบอกว่าเขาคงพอทำได้ แต่เขาจะทำอย่างนั้นหรือ
เนื่องจากเขาตอบไม่ได้ เขาก็เลยได้แต่นิ่งไป จ้องมองมือของตัวเอง ยื่นออกไปดึงเธอมากอดไว้ไม่ได้ อีกอย่างที่นี่มันก็เป็นโรงอาหาร
ณิชาลุกขึ้น เก็บข้าวของและบอกว่า “หนูคงเหนื่อยเกินไป ขอกลับก่อนดีกว่า ขอโทษที่พูดจาแปลกๆ นะคะวันนี้ อย่าใส่ใจเลยนะคะ แล้วเจอกันค่ะ”
รดิศพูดไม่ออก เขามองเธอเดินจากไป อดคิดไม่ได้ว่าณิชาช่างเข้มแข็ง
ใช่ เขารู้แล้วว่าใต้ฉากหน้านั้นภายในเธออ่อนแอ แต่คนที่แม้ข้างในจะเจ็บปวด แต่ยังคงใส่หน้ากากเพื่อให้คนรอบข้างสบายใจไหวอยู่นั้น รดิศอดคิดไม่ได้ว่า มันช่างเข้มแข็งเสียเหลือเกิน
###
รดิศกลับมาที่หอ เขายังคงครุ่นคิดเรื่องณิชา และในที่สุดก็ตัดสินใจกดโทรหาอรุษ
“สวัสดี ผมเองนะ รดิศ จำได้มั้ย” เขาพูดเมื่ออีกฝ่ายรับสาย
“จำได้” อรุษตอบหลังจากหยุดคิดพักใหญ่ “มีอะไรเหรอ”
“เปล่า แค่...อยากคุยด้วยนิดหน่อยน่ะ พอจะว่างไหม” รดิศเอ่ยอย่างลังเล
“เรื่องณิเหรอ” อรุษถาม
“ใช่”
“ว่างเสมอแหละ” อรุษตอบ
“...คิดยังไงกับเรื่องณิเหรอ” รดิศถาม
“...รู้เรื่องของณิมากแค่ไหนเหรอ” อีกฝ่ายหยั่งเชิงมาทางโทรศัพท์
“รู้ว่าท้อง แต่ไม่เข้าใจสิ่งที่ณิคิดจริงๆ หรอก” รดิศบอก
“ไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่ณิคิดจริงๆ หรอก” อรุษพูด ก่อนทุกอย่างจะพรั่งพรูออกมาราวกับเขารอใครสักคนมาฟังเรื่องนี้มานานแสนนาน
และความจริงแล้วก็อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ เรื่องของณิชา เขาคงไม่กล้าเล่าให้ใครฟังแม้สักคน
นี่คือเรื่องของอรุษ
###
ความจริงแล้วผมยังรักณิชาและไม่อยากเลิกกับเธอ และผมรู้ว่าเธอเองก็ยังรักผมเหมือนกัน แต่ผมไม่อาจเป็นพ่อคนได้ในตอนนี้ ทั้งผมทั้งเธอยังเรียนมหาวิทยาลัย จะเอาเงินจากไหนมาเลี้ยงลูก พ่อกับแม่ของผมหัวโบราณมาก ท่านต้องไม่ยอมแน่ๆ เรื่องนี้ แล้วคนอื่นคงจะมองไม่ดี
หลายคนอาจจะถาม ถ้าหากรับผิดชอบไม่ได้แล้วจะทำทำไม ถ้าคิดว่าคนอื่นมองไม่ดีก็แปลว่าจิตใต้สำนึกคิดว่าการมีอะไรกันก่อนแต่งมันก็ไม่ดี แล้วจะทำทำไม ทำไมหยุดตัณหาของตัวเองไม่ได้ ทำไมเป็นคนไม่ได้เรื่อง
แต่ผมอยากถามกลับว่าแล้วเราทำผิดอะไรหรือ ช่วงวัยที่มนุษย์อยากมีเพศสัมพันธ์นั้นเริ่มตั้งแต่ก่อนจะยี่สิบแน่ๆ และหากว่าความต้องการจะอย่างนั้นของเราสามารถเติมเต็มได้หลังแต่งงานเท่านั้น เราก็ต้องอดทนอดกลั้นกันเป็นนานมาก กว่าจะได้แต่งงาน ในเมื่อสังคมไทยไม่เคยยอมรับการแต่งงานขณะเรียนมหาวิทยาลัย ญาติของผมบางคนที่ไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัยมีลูกวิ่งได้แล้วตอนนี้ พวกเขาเรียนจบม.ปลายแล้วก็แต่งงานเมื่อวัยเจริญพันธุ์เคลื่อนมาถึง ส่วนมนุษย์ผู้ปรารถนาจะเป็นผู้มีการศึกษา หากปรารถนาจะเชิดหน้าว่าเป็นผู้มีศีลธรรมด้วย ก็จงแช่แข็งวัยเจริญพันธุ์ของตัวเองไปจนกว่าจะเรียนจบ หรือไกลกว่านั้น ผู้หญิงบางคนเริ่มแต่งงานตอนอายุสามสิบ แล้วก็มาบ่นว่าตัวเองอายุมากมีลูกยาก
ดูเหมือนเราจะทำอะไรฝืนธรรมชาติกันอยู่ หากต้องการปฏิบัติตามกรอบศีลธรรมของสังคมไทย เราจะต้องทำอะไรฝืนธรรมชาติกันมากพอดู
แต่ความจริงแล้วมนุษย์เราฝืนธรรมชาติได้อย่างนั้นรึ ไม่ว่าญาติที่แต่งงานหลังจบมัธยมปลายหรือเพื่อนมหาลัยของผมต่างก็อยู่กินกับคนรักในฐานะภรรยากันในช่วงอายุยี่สิบต้นๆ แม้จะบรรดานักศึกษาบอกว่ายังไม่แต่งงาน แต่ทางพฤตินัยแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากบางคนที่แต่งงานแล้ว เพียงแค่ไม่มีงานฉลองครั้งใหญ่และทะเบียนสมรสก็เท่านั้น (อย่างกับลืมไปว่าในโลกภายนอกรั้วมหาลัย คนที่แต่งงานเป็นผัวเมียกันแล้วบางคนก็ไม่มีงานฉลองยิ่งใหญ่และทะเบียนสมรสหรอก) ไม่ว่าจะมีการศึกษาสูงหรือไม่ก็มีเพศสัมพันธ์ อาจจะเพราะมนุษย์นั้นไม่อาจแช่แข็งความต้องการทางเพศของตนได้ แม้จะแตกต่างเรื่องวิธีเรียกนิดหน่อย แต่ที่แท้แล้วก็ผัวเมียเหมือนกัน
บางทีผมก็ไม่เข้าใจกรอบศีลธรรมที่บอกว่าคนไม่ควรมีอะไรกันก่อนแต่งงาน ทั้งที่การณ์ก็เห็นอยู่ว่าทุกคนไม่ว่าจะคนมีการศึกษาหรือไม่ ก็ล้วนแต่มีอะไรกันก่อนแต่งงาน ดังนั้นการมาพูดดัดจริตกับผมเรื่องไม่ควรมีอะไรกันก่อนแต่งงานไม่สะเทือนผิวผมสักนิด บรรดานักศึกษาต่างรู้กันดีว่าคำว่าแฟนสำหรับบางคนมีความหมายไกลไปถึงอะไร และพวกเขาก็ไม่สนใจจะปิดบัง มันไม่ได้ดูไม่ดีในสายตาของพวกเขา แต่สิ่งที่จะดูไม่ดีทันทีคือเมื่อท้อง และนั่นคือสิ่งที่ผมกล่าวถึงเมื่อพูดว่า คนเขาจะมองยังไง
สำหรับนักศึกษา ผู้หญิงที่ท้องคือผู้หญิงที่ไม่รู้จักป้องกันตัวเองแม้โลกจะเข้าสู่ศตวรรษที่ยี่สิบแล้ว ผมไม่ต้องการให้ณิชาของผมถูกมองแบบนั้น พวกเราป้องกันทุกอย่างอย่างรัดกุม แต่มันมีครั้งหนึ่งที่เราพลาด และเพียงแค่ครั้งนั้น ทุกอย่างในโลกของผมกับเธอก็พังทลายลง
ผมขอร้องให้เธอเอาเด็กออก จะว่าผมใจไม้ไส้ระกำก็เอาเถอะ ผมไม่สนใจสิ่งมีชีวิตที่ยังไม่เป็นตัวนั่นเลย ผมไม่มีความรู้สึกที่เรียกว่าพ่อ ผมมีแต่ความคิดว่า ถ้าณิชาไม่เอาเด็กออก เธอจะต้องดรอปเรียน คนอื่นจะมองเธอไม่ดี และเธอจะต้องลำบากมากขณะอุ้มท้อง คลอด และเลี้ยงดูเด็กคนนั้น การแต่งงานกับผมจะเป็นเรื่องขมขื่นสำหรับเธอ เพราะเราสองคนยังไม่มีเงินเลี้ยงลูก และพ่อแม่ของผมจะไม่มีวันยอมรับผู้หญิงที่มีอะไรกับผู้ชายก่อนแต่งงาน แม้ว่าผู้ชายที่เป็นคนทำให้เธอยอมทำ จะเป็นลูกชายของพวกท่านเองก็ตาม
ผมขอร้องให้เธอเอาเด็กออกเพราะผมรักเธอ เหตุผลอื่นๆ สำหรับตัวเองที่ไม่ต้องการเผชิญความยากลำบากก็มีอยู่หรอก ผมจะสารภาพโดยไม่ปิดบังว่าผมก็เห็นแก่ตัวเองเหมือนกัน แต่ผมก็เห็นแก่เธอด้วย
ผมรู้ว่าการเอาเด็กออกอาจจะอันตราย แต่ผมเห็นมามากแล้ว มากมายจริงๆ – ส่วนใหญ่ไม่เป็นไร
ทว่าณิชากลับทำสิ่งที่ผมไม่คาดคิดว่าเธอจะทำ เธอต้องการเลี้ยงลูกด้วยใจจริง และยินดีที่จะได้ทำสิ่งนั้น ผมพยายามโน้มน้าวใจเธออีกหลายครั้ง ไม่อยากให้เธอลำบาก แต่สุดท้ายมันกลับทำให้เธอพูดว่า “ใช่ค่ะมันลำบากสำหรับพี่รุษ หนูจะไม่ให้มันลำบากสำหรับพี่อีก”
ตอนแรกผมคิดว่าเธอจะทำตามที่ผมแนะ แต่หลังจากนั้นเธอกลับย้ายออกจากหอพักที่เราอยู่ด้วยกันไปไหนก็ไม่รู้ ตัดการติดต่อกับผมทุกช่องทาง ทิ้งไว้เพียงโน้ตเล็กๆ ว่าเธอรู้ว่าผมคงลำบากมากหากจะต้องก้าวไปบนทางสายเดียวกับเธอ แต่เธอจะไม่เลือกทางสายอื่นอีก และยินดีที่จะก้าวไปตามลำพังดีกว่าบังคับผมให้ไปด้วยกัน
ผมเห็นกระดาษโน้ตแล้วใจสลาย ผมโน้มน้าวให้เธอไปทางสายเดียวกับผมไม่ได้ อันที่จริงมันก็คือการฆ่าลูกน้อย มันถูกตราว่าเป็นสายทางของคนชั่ว แต่ผมกับณิชาไม่ได้คิดอย่างนั้น เช่นเดียวกับที่คู่รักหนุ่มสาวอีกมากมายไม่ได้คิด พวกเขาเพียงแต่คิดว่ามันเป็นทางเลือกหนึ่งในสองทางแห่งแพร่งทางของชีวิต ทางที่คนหลายคนตัดสินใจเลือกเพราะมันคงดีกว่ากับอนาคตของพวกเขาสองคน แต่มันเป็นทางที่ณิชาไม่เลือกเดิน
ผมไม่อาจบอกได้ว่าเธอผิด แต่ผมก็ไม่อาจโทษแม่วัยสาวคนอื่นๆ ที่ท้องและเลือกจะทำแท้งว่าผิดเช่นกัน สถานการณ์ต่างๆ ของสังคมบีบคั้นให้พวกเธอต้องทำแบบนั้น แม้มหาวิทยาลัยจะเปิดให้ใครเรียนก็ได้ตามที่ตราไว้ในกฎเกณฑ์ แต่ทางพฤตินัยแล้วมันกลับแทบไม่ให้โอกาสใครที่ท้องโตไปเรียน และในสังคมนี้มันต้องมีการศึกษาระดับปริญญาตรีจึงจะสามารถหางานที่ได้เงินพอใช้จ่ายได้ พวกเธอจึงไม่อาจละทิ้งชีวิตของตัวเองไปเพื่อชีวิตอีกชีวิตที่เอาเข้าจริงพวกเธอก็ยังไม่พร้อมจะดูแล
ถ้าพูดแบบนั้น ผมเองก็คงไม่ผิดเช่นกันที่เลือกทางนี้ให้ณิชา แต่ผมก็ยังรู้สึกผิดเรื่อยมาจนถึงวันนี้ รู้สึกว่าตัวเองได้ทิ้งผู้หญิงคนหนึ่งมาอย่างไม่มีความรับผิดชอบ ทิ้งให้ผู้หญิงที่รักต้องลำบากตามลำพัง แม้ว่าความจริงแล้วผมจะไม่ได้เป็นฝ่ายทิ้งก็ตาม ผมพยายามตามหาเธออย่างบ้าคลั่ง แต่เธอกลับไม่ปรากฏตัวในซอกมุมของตึกเรียนหรือร้านอาหารที่เราเคยไปกินด้วยกันเลย ผมรู้ว่าเธออยู่ที่นั่น และเหมือนทุกครั้ง เธอเห็นผมก่อนที่ผมจะเห็นเธอเสมอ แล้วเธอก็หลบหนีไป วันเวลาผ่านไปหลายปี ผมจบมหาวิทยาลัยและไม่ได้ข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับณิชาอีกเลย
คุณรู้ไหม ผมคิดอยู่เสมอว่าผมไม่มีวันรู้อีกแล้วว่าเธอและลูกของผมเป็นตายร้ายดีอยู่ที่ไหน แต่ผมรู้แน่ๆ ว่าผมมีลูกของผมอยู่คนหนึ่งบนโลกนี้ เพราะณิชาไม่มีทางเปลี่ยนใจ วันหนึ่งพอผมแก่ตัวลง ผมคงจะคิดสงสัยว่าลูกของผมอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ คงรู้อยู่แก่ใจว่าสายเลือดของผมคงอยู่ที่ไหนสักที่ใต้ฟ้าเดียวกันนี้ ความรู้สึกนี้และคำว่าขอโทษ มันคงติดตัวผมตลอดไป
“ผมคิดว่าผมคง...ไม่สามารถรักหรือคบกับใครได้อีกแล้ว” อรุษจบเรื่องด้วยประโยคนั้น
รดิศจำไม่ได้เสียแล้วว่าตัวเองพูดอะไรออกไป แต่อีกไม่กี่ประโยคเขาก็วางโทรศัพท์ ชายหนุ่มรู้สึกคล้ายถูกโจมตีด้วยความคิดและอารมณ์จำนวนมหาศาล
เขาไม่อาจบอกได้ว่าใครผิดในเรื่องนี้ บางทีโลกใบนี้อาจไม่ใช่ละครทีวีที่จะชี้ลงไปได้ว่าใครผิดถูก บางทีความดีชั่วอาจไม่ใช่สิ่งจำเป็นต้องตัดสิน ที่เป็นอยู่ก็มีเพียงความจริง ที่ดำเนินไปแล้วและไม่อาจแก้ไขย้อนคืน มีแต่ทางข้างหน้าที่เราจะเลือกเดินไปได้ เพื่อจะทำให้อะไรดีขึ้นหรือเลวร้ายลง
แต่น่าเสียดายที่บางที เราก็ถูกบีบ...หรือบีบตัวเอง...ให้เลือกเดินได้เพียงทางเดียว
นวนิยายขนาดสั้นรองชนะเลิศอันดับสอง รางวัลนักเขียนรุ่นเยาว์ เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 11 ประจำปี 2557
สารบัญและบทก่อนหน้านี้
7
หัวข้อรายงานหน้าชั้นของวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสนทนาคือ “แผนการในอนาคตของคุณ”
การรายงานของรดิศน่าเบื่อพอๆ กับที่การรายงานของณิชาน่าเบื่อ พวกเขาบอกเหมือนกันคือเรียนให้จบแล้วเข้าทำงานในบริษัท ใช้เวลาว่างอ่านหนังสือและก็ดูหนัง รดิศบอกกับตัวเองต่อหน้าทุกคนในชั้นเรียนว่าเขาจะซื้อรถยนต์ราคาถูกๆ สักคัน ส่วนณิชาพูดแค่ว่าเธอหวังจะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด ไม่มีคำใบ้ใดบอกว่าเธอหมายถึงลูกในท้องของเธอตอนนี้ มันเป็นเพียงประโยคที่ลอยออกมาคล้ายความมุ่งหมายในวันใดวันหนึ่งในอนาคตอันไกลโพ้น ไม่มีภาพความฝันอันยิ่งใหญ่ ไม่มีอาชีพอันใดที่ปรารถนา ไม่มีการอยากเที่ยวรอบโลก ไม่มีอะไรทั้งนั้น
สำหรับรดิศแล้วมันคงไม่แปลก เขาไม่มีฝันใดเกี่ยวกับตัวเอง เพียงแค่คิดว่าจะใช้ชีวิตให้ดีในระดับกลางๆ พอที่พ่อจะไม่ห่วงเท่านั้น สำหรับรดิศ อนาคตไม่ใช่สิ่งสำคัญ เพราะเมื่อมันจะเป็น มันก็จะเป็นไปเอง ปัจจุบันเป็นเช่นเดียวกับอนาคต ส่วนอดีต...หลอกหลอนยิ่งนัก
แต่ณิชาล่ะ รดิศคิดว่าณิชาเป็นสาวน้อยผู้อ่อนไหว ช่างฝัน เธอน่าจะมีความฝันอะไรสักอย่างที่มีไว้ตั้งแต่มัธยม อะไรบางอย่างที่เธออยากจะทำ รดิศหวังจะได้ยินเรื่องพวกนี้จากปากเธอบ้าง เขาคิดว่ามันต้องสว่างไสวแน่ๆ แต่เขาก็ไม่กล้าถาม เพราะเขารู้ว่ามันจบแล้ว มันจบตั้งแต่เธอท้อง ไม่มีฝันใดจะสานต่อได้เมื่อผู้หญิงมีลูก ไปเที่ยวหรือ เรียนต่อปริญญาโทหรือ พับเก็บไปเถอะ เพียงแค่เวลาส่วนตัวจะดูแลตัวเองยังหาได้ยากเลยเมื่อเราต้องดูแลเด็กอายุไม่กี่เดือนสักคน แต่รดิศก็อยากรู้นะ อยากรู้ว่าเธอเคยฝันว่าอะไรบ้าง
ใครสักคนอาจจะบอกว่าณิชาผิดเองที่เธอต้องจบความฝันของเธอ เพราะมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน เพราะท้องก่อนแต่ง เพราะเป็นผู้หญิงที่ไม่รู้จักคุมความต้องการทางเพศของตัวเอง ไม่เป็นกุลสตรี ทำให้พ่อแม่เสียใจ และอีกหลายตราบาปที่สังคมจะรุมกันประณาม พวกเขาจะบอกว่าสิ่งที่เธอได้รับก็สมกับที่เธอทำแล้ว เธอต้องรับผิดชอบการกระทำของตน
แต่ณิชาสมควรจะได้รับการประณามเยี่ยงนั้น และใช้ชีวิตต่อไปโดยมีลูกของเธอในฐานะ “ก้อนกรรมและการลงโทษ” อย่างนั้นน่ะหรือ ทำไมลูกของเธอจึงไม่เป็นของขวัญจากพระเจ้า เหมือนอย่างที่ลูกของคนอื่นๆ เป็นกันเล่า
ความจริงแล้วที่ความฝันของเธอจบลงไม่ใช่เพราะเรื่องวัยเรียนหรือก่อนแต่งงานอะไรเลย ความฝันที่ต้องจบลงเป็นเรื่องของผู้หญิงทุกคนที่ท้อง ไม่ว่าจะท้องแบบถูกธรรมเนียมปานใดก็ตาม ความฝันของคนเป็นแม่จะมีอันต้องพับเก็บเสมอ เพื่อดูแลเด็กเล็กๆ คนหนึ่งให้เต็มที่ที่สุด ปัญหาของณิชาเป็นปัญหาของแม่ทุกคน ไม่ใช่ปัญหาแม่วัยใส เธอแตกต่างจากเด็กมัธยมหรือสาวมหาลัยคนอื่นๆ ที่ท้อง เธอไม่ได้กังวลเรื่องจะเลี้ยงลูกยังไง เธอมีหนทางของเธอแล้ว จะขลุกขลักบ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา รดิศสรุปแบบนั้น
แต่ระหว่างคาบเรียน ณิชากลับดูไม่สดชื่นเอาเสียเลย เธอหน้าซีดลงเรื่อยๆ และใจลอยไม่มีสมาธิฟังการรายงานหน้าชั้นของคนอื่นๆ เขาเลยแตะแขนเธอเบาๆ และถามว่า “เป็นอะไรรึเปล่า” แต่เธอก็ทำเพียงแค่ส่ายหน้าเงียบๆ
ระหว่างทานข้าวกลางวันในโรงอาหารของมหาวิทยาลัย ณิชายิ่งดูซึมไปกว่าเคย เขาเลยคาดคั้นเอาอีกครั้งว่า “ณิกังวลอะไรอยู่ บอกพี่ก็ได้นะ”
เธอเงยมองหน้าเขา แลดูซีดเซียว อ่อนล้า ไร้เรี่ยวแรง เธอขยับปากเหมือนจะพูดแต่ยังตัดสินใจอยู่ รดิศจึงเอ่ยเบาๆ ว่า “พี่ฟังณิได้ทุกเรื่อง”
ณิชามองหน้าเขา ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “...หนูพูดโกหกในวิชาภาษาอังกฤษ หนูไม่มีทางไปทำงานบริษัทอะไรแบบนั้นได้ หนูต้องเลี้ยงลูก”
รดิศพยักหน้า เขายิ้ม “จะกังวลอะไรล่ะ ไม่มีใครบอกว่าต้องพูดความจริงนี่ หลายคนก็พูดพล่ามเพ้อฝันไปเรื่อยแหละ ไม่มีใครจริงจังอะไรกับมันด้วยซ้ำ แค่พูดให้ถูกหลักภาษาก็พอนี่”
“ค่ะ อันนั้นหนูรู้ แต่ว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่นั่น... ปัญหามันอยู่ที่ว่า หนูกำลังคิดว่าทำไมหนูไม่พูดความจริง... ทำไมหนูถึงไม่กล้าบอกคนอื่นๆ ว่าหนูท้องและจะดรอปเรียน”
“จะบ้าหรือณิ พูดไปแบบนั้นทุกคนก็แตกตื่นกันพอดีสิ ไม่เห็นต้องพูดความจริงเลย ถ้าพูดไปณิอาจจะลำบากได้นะ” รดิศบอก แต่ณิชามองหน้าเขา และพูดว่า “หนูกำลังสั่นคลอนค่ะพี่ หนูบอกว่า หนูเชื่อว่าการตัดสินใจของหนูมันถูกต้องแล้ว และไม่สนใจว่าคนอื่นๆ จะคิดยังไง หนูชอบพูดว่า คนหลายคนเอาแต่สนใจสิ่งที่คนอื่นคิดจนลืมสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่ทำไม ถ้าหากหนูไม่สนใจจริง ทำไมหนูถึงไม่สามารถบอกออกไปได้ล่ะคะ”
“ณิไม่จำเป็นต้องบอกหรอก ถึงณิจะไม่สนใจจริงๆ แต่มันก็ไม่สนุกที่จะมีคนมาตัดสินณิ จริงไหม ต่อจากนี้ณิยังต้องเจอคนมาตัดสิน มาดูถูกอีกมาก ดังนั้น อะไรที่เลี่ยงได้ก็เลี่ยงไว้บ้างเถอะ ไม่ต้องพาตัวเองไปชนทุกปัญหาหรอก มันไม่ได้ทำให้เราดูเป็นคนกล้ามากขึ้น เราไม่ต้องกล้าหาญมากหรอก เราแค่ต้องรักษาใจเราไว้ให้ได้ก็พอแล้ว พี่ไม่อยากให้ใครมาตัดสินณิหรอกนะ พี่กลัวณิจะเสียใจ” รดิศพูดไปเรื่อยๆ ณิชาจ้องหน้าเขาไม่วางตา เธอไม่ตอบอะไร ทำให้เขาต้องพยายามสรรหาคำมาเอ่ยเพิ่มอีก ทั้งที่เขาไม่แน่ใจนักว่าควรปลอบอย่างไร “พี่เข้าใจว่าณิเข้มแข็ง และก็เปิดเผย อยากจะพูดความจริง อยากจะยอมรับทุกอย่างได้อย่างดี แต่บางทีถ้าเราตรงไปตรงมามากเกินไปจะลำบากเอาได้นะ อย่าคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ลืมมันไปเถอะ แค่นี้ณิก็แข็งแกร่งมากพอแล้วนะ ที่สามารถเผชิญกับเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้โดยที่ไม่เป็นอะไรเลย”
สิ้นคำของเขา น้ำตาของณิชาก็กลิ้งลงมาตามร่องแก้ม รดิศเห็นแล้วใจหาย เขามองหน้าเธอ แทบไม่กล้าเอ่ยอะไรสักคำ เขาคงพูดอะไรบางอย่างผิด แต่ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเขาผิดไปที่ตรงไหน “พี่ขอโทษ” เขาละล่ำละลัก “พี่ขอโทษนะ พี่คงพูดอะไรไม่...ไม่ดีไป”
“เปล่าหรอกค่ะ” ณิชาปาดน้ำตา แววตาของเธอเข้มแข็งขึ้นชั่วขณะก่อนจะพร่าด้วยน้ำตาดังเดิมราวกับเจ้าของพยายามจะตั้งสติแล้วแต่กลับทำไม่ได้ “พี่ไม่ได้พูดผิดหรอกค่ะ พี่พูดถูกทุกอย่างและหนูรู้ว่าพี่พยายามให้กำลังใจ”
เธอพยายามกลั้นน้ำตา ก่อนจะจ้องหน้าเขา “แต่พี่คิดจริงๆ หรือคะว่าหนูไม่รู้สึกอะไรเลย”
คำพูดของณิชาตกลงกลางใจรดิศและทำให้ทั้งตัวของเขาเย็นวาบ
มันไม่ง่ายที่เธอจะผ่านเรื่องทั้งหมดมา เขาเอาแต่มองว่าเธอช่างเข้มแข็งจนน่าชื่นชม แต่เบื้องหลังสิ่งที่เธอแสดงออก เธอได้ผ่านสิ่งที่ไม่ง่าย เป็นไปไม่ได้ที่ภายในเธอจะไม่ไหวลู่ลมแม้เพียงครั้งเดียว
คงจะนับร้อยครั้งแล้วกระมัง ที่ต้องร้องไห้เจียนตาย ก้าวย่างยากเย็นจนแทบซวนเซล้ม
คล้ายกับทำนบบางอย่างในตัวของณิชาพังทลายลง ฉากหน้าที่เธอเคยดึงขึ้นบนสีหน้าเพื่อกำบังความจริงเลือนหาย เธอเริ่มเอ่ยปากเล่าความในใจที่อัดอั้นมานาน “ตอนแรกที่หนูรู้ หนูทั้งกังวลทั้งกลัว หนูไม่ใช่แม่พระคนดีอะไรหรอกพี่ หนูก็คิดเหมือนกันว่าอยากเอาออก แต่หนูก็กลัวอยู่ดี หนูอาจจะตายระหว่างเอาออก และยิ่งคิดหนูยิ่งทำไม่ไหว หนูอยากให้ลูกได้เกิด แต่หนทางที่ทอดข้างหน้าถ้าหนูเลือกทางนี้ มันก็น่ากลัวมาก พอมองไปแทบไม่เห็นเลยว่าปลายทางจะเป็นยังไง สองข้างทางมีแต่ความลำบาก สิ่งที่เคยฝันเคยหวังไว้ว่าอยากจะทำ กลับต้องล้มลงไปจนหมด เหมือนชีวิตพลิกผัน หลายคนคงบอกว่าเพราะหนูทำตัวเอง แต่หนูไม่คิดว่าหนูทำผิดจากคนอื่นๆ ทุกคนก็ทำดังนี้กัน แต่พวกเขาเอาออก...” เธอมองตาเขา นิ่งไปหลายวินาทีก่อนจะเอ่ยต่อ “หลายสัปดาห์ที่หนูทะเลาะกับแม่ กับทุกคนที่บ้าน หนูบอกพี่ว่าหนูไม่ร้องไห้ แต่ความจริงหลายครั้งที่ร้องไห้คนเดียว หนูสับสน มืดไปหมด ไม่รู้จะทำยังไง หนูคิดจะย้อนกลับไปเอาออกตั้งหลายหน แต่มันคงเป็นทางที่หนูเลือกแล้ว หนูย้อนกลับไม่ได้ หนูกลัวแต่ก็ต้องไปต่อ ทุกวันนี้ก็ยังกลัว แต่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าหนูปกติ ไม่พูดอะไร ไม่แสดงอะไรออกมา ไม่อยากให้ใครต้องเป็นห่วง”
รดิศมองหน้าณิชา นิ่งงัน เขาไม่เคยคิดถึงความโศกเศร้าของเธอมาก่อน ที่ผ่านมาเขาจมอยู่ในความโศกเศร้าของตัวเอง เงยหน้ามองณิชาและปรารภว่าเธอช่างสว่างนัก แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าลึกลงไป เธอเจอเรื่องหนักหนาเพียงกันหรืออาจจะยิ่งกว่าเขา ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่น่าจะรู้ได้ง่ายๆ อยู่แล้ว แต่เขากลับไม่เคยใช้หัวคิด ไม่เคยมองลึกลงไปใต้ใบหน้า ใต้แววตาที่เธอใช้ปกปิดความจริง เพียงเพราะไม่อยากให้คนรอบตัวกังวลใจ
อาจเรียกได้ว่าเขาไม่เคยคิดถึงใจณิชาจริงๆ เลย
หญิงสาวมองหน้าเขา ก้มหน้าเอ่ยเบา “หนูคงพูดมากเกินไปแล้ว ขอโทษนะคะที่พูดเรื่องไร้สาระกับพี่ ลืมมันเสียก็ดีนะคะ หนูสบายดีค่ะ และหนูก็ไม่เป็นไร อย่าห่วงเลยค่ะ”
และเธอก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง ฉากหน้าที่เข้มแข็งบดบังในใจที่ไหวเอน พยายามพยุงตัวเองเพื่อไม่ต้องเป็นภาระใคร
รดิศอยากจะเอื้อมมือออกไปดึงเธอมากอดไว้ ให้ร้องไห้ต่อหน้าเขาและบอกว่าไม่เป็นไร ต่อหน้าเขานั้นไม่ต้องแสร้งเข้มแข็งก็ได้ เขาจะรับฟังปัญหาของเธอเอง และจะช่วย...
ฉับพลัน รดิศถูกโจมตีด้วยคำถามของอรุษ จะช่วยงั้นหรือ เขาจะช่วยณิชาได้จริงๆ งั้นหรือ เขาบอกว่าเขาคงพอทำได้ แต่เขาจะทำอย่างนั้นหรือ
เนื่องจากเขาตอบไม่ได้ เขาก็เลยได้แต่นิ่งไป จ้องมองมือของตัวเอง ยื่นออกไปดึงเธอมากอดไว้ไม่ได้ อีกอย่างที่นี่มันก็เป็นโรงอาหาร
ณิชาลุกขึ้น เก็บข้าวของและบอกว่า “หนูคงเหนื่อยเกินไป ขอกลับก่อนดีกว่า ขอโทษที่พูดจาแปลกๆ นะคะวันนี้ อย่าใส่ใจเลยนะคะ แล้วเจอกันค่ะ”
รดิศพูดไม่ออก เขามองเธอเดินจากไป อดคิดไม่ได้ว่าณิชาช่างเข้มแข็ง
ใช่ เขารู้แล้วว่าใต้ฉากหน้านั้นภายในเธออ่อนแอ แต่คนที่แม้ข้างในจะเจ็บปวด แต่ยังคงใส่หน้ากากเพื่อให้คนรอบข้างสบายใจไหวอยู่นั้น รดิศอดคิดไม่ได้ว่า มันช่างเข้มแข็งเสียเหลือเกิน
###
รดิศกลับมาที่หอ เขายังคงครุ่นคิดเรื่องณิชา และในที่สุดก็ตัดสินใจกดโทรหาอรุษ
“สวัสดี ผมเองนะ รดิศ จำได้มั้ย” เขาพูดเมื่ออีกฝ่ายรับสาย
“จำได้” อรุษตอบหลังจากหยุดคิดพักใหญ่ “มีอะไรเหรอ”
“เปล่า แค่...อยากคุยด้วยนิดหน่อยน่ะ พอจะว่างไหม” รดิศเอ่ยอย่างลังเล
“เรื่องณิเหรอ” อรุษถาม
“ใช่”
“ว่างเสมอแหละ” อรุษตอบ
“...คิดยังไงกับเรื่องณิเหรอ” รดิศถาม
“...รู้เรื่องของณิมากแค่ไหนเหรอ” อีกฝ่ายหยั่งเชิงมาทางโทรศัพท์
“รู้ว่าท้อง แต่ไม่เข้าใจสิ่งที่ณิคิดจริงๆ หรอก” รดิศบอก
“ไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่ณิคิดจริงๆ หรอก” อรุษพูด ก่อนทุกอย่างจะพรั่งพรูออกมาราวกับเขารอใครสักคนมาฟังเรื่องนี้มานานแสนนาน
และความจริงแล้วก็อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ เรื่องของณิชา เขาคงไม่กล้าเล่าให้ใครฟังแม้สักคน
นี่คือเรื่องของอรุษ
###
ความจริงแล้วผมยังรักณิชาและไม่อยากเลิกกับเธอ และผมรู้ว่าเธอเองก็ยังรักผมเหมือนกัน แต่ผมไม่อาจเป็นพ่อคนได้ในตอนนี้ ทั้งผมทั้งเธอยังเรียนมหาวิทยาลัย จะเอาเงินจากไหนมาเลี้ยงลูก พ่อกับแม่ของผมหัวโบราณมาก ท่านต้องไม่ยอมแน่ๆ เรื่องนี้ แล้วคนอื่นคงจะมองไม่ดี
หลายคนอาจจะถาม ถ้าหากรับผิดชอบไม่ได้แล้วจะทำทำไม ถ้าคิดว่าคนอื่นมองไม่ดีก็แปลว่าจิตใต้สำนึกคิดว่าการมีอะไรกันก่อนแต่งมันก็ไม่ดี แล้วจะทำทำไม ทำไมหยุดตัณหาของตัวเองไม่ได้ ทำไมเป็นคนไม่ได้เรื่อง
แต่ผมอยากถามกลับว่าแล้วเราทำผิดอะไรหรือ ช่วงวัยที่มนุษย์อยากมีเพศสัมพันธ์นั้นเริ่มตั้งแต่ก่อนจะยี่สิบแน่ๆ และหากว่าความต้องการจะอย่างนั้นของเราสามารถเติมเต็มได้หลังแต่งงานเท่านั้น เราก็ต้องอดทนอดกลั้นกันเป็นนานมาก กว่าจะได้แต่งงาน ในเมื่อสังคมไทยไม่เคยยอมรับการแต่งงานขณะเรียนมหาวิทยาลัย ญาติของผมบางคนที่ไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัยมีลูกวิ่งได้แล้วตอนนี้ พวกเขาเรียนจบม.ปลายแล้วก็แต่งงานเมื่อวัยเจริญพันธุ์เคลื่อนมาถึง ส่วนมนุษย์ผู้ปรารถนาจะเป็นผู้มีการศึกษา หากปรารถนาจะเชิดหน้าว่าเป็นผู้มีศีลธรรมด้วย ก็จงแช่แข็งวัยเจริญพันธุ์ของตัวเองไปจนกว่าจะเรียนจบ หรือไกลกว่านั้น ผู้หญิงบางคนเริ่มแต่งงานตอนอายุสามสิบ แล้วก็มาบ่นว่าตัวเองอายุมากมีลูกยาก
ดูเหมือนเราจะทำอะไรฝืนธรรมชาติกันอยู่ หากต้องการปฏิบัติตามกรอบศีลธรรมของสังคมไทย เราจะต้องทำอะไรฝืนธรรมชาติกันมากพอดู
แต่ความจริงแล้วมนุษย์เราฝืนธรรมชาติได้อย่างนั้นรึ ไม่ว่าญาติที่แต่งงานหลังจบมัธยมปลายหรือเพื่อนมหาลัยของผมต่างก็อยู่กินกับคนรักในฐานะภรรยากันในช่วงอายุยี่สิบต้นๆ แม้จะบรรดานักศึกษาบอกว่ายังไม่แต่งงาน แต่ทางพฤตินัยแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากบางคนที่แต่งงานแล้ว เพียงแค่ไม่มีงานฉลองครั้งใหญ่และทะเบียนสมรสก็เท่านั้น (อย่างกับลืมไปว่าในโลกภายนอกรั้วมหาลัย คนที่แต่งงานเป็นผัวเมียกันแล้วบางคนก็ไม่มีงานฉลองยิ่งใหญ่และทะเบียนสมรสหรอก) ไม่ว่าจะมีการศึกษาสูงหรือไม่ก็มีเพศสัมพันธ์ อาจจะเพราะมนุษย์นั้นไม่อาจแช่แข็งความต้องการทางเพศของตนได้ แม้จะแตกต่างเรื่องวิธีเรียกนิดหน่อย แต่ที่แท้แล้วก็ผัวเมียเหมือนกัน
บางทีผมก็ไม่เข้าใจกรอบศีลธรรมที่บอกว่าคนไม่ควรมีอะไรกันก่อนแต่งงาน ทั้งที่การณ์ก็เห็นอยู่ว่าทุกคนไม่ว่าจะคนมีการศึกษาหรือไม่ ก็ล้วนแต่มีอะไรกันก่อนแต่งงาน ดังนั้นการมาพูดดัดจริตกับผมเรื่องไม่ควรมีอะไรกันก่อนแต่งงานไม่สะเทือนผิวผมสักนิด บรรดานักศึกษาต่างรู้กันดีว่าคำว่าแฟนสำหรับบางคนมีความหมายไกลไปถึงอะไร และพวกเขาก็ไม่สนใจจะปิดบัง มันไม่ได้ดูไม่ดีในสายตาของพวกเขา แต่สิ่งที่จะดูไม่ดีทันทีคือเมื่อท้อง และนั่นคือสิ่งที่ผมกล่าวถึงเมื่อพูดว่า คนเขาจะมองยังไง
สำหรับนักศึกษา ผู้หญิงที่ท้องคือผู้หญิงที่ไม่รู้จักป้องกันตัวเองแม้โลกจะเข้าสู่ศตวรรษที่ยี่สิบแล้ว ผมไม่ต้องการให้ณิชาของผมถูกมองแบบนั้น พวกเราป้องกันทุกอย่างอย่างรัดกุม แต่มันมีครั้งหนึ่งที่เราพลาด และเพียงแค่ครั้งนั้น ทุกอย่างในโลกของผมกับเธอก็พังทลายลง
ผมขอร้องให้เธอเอาเด็กออก จะว่าผมใจไม้ไส้ระกำก็เอาเถอะ ผมไม่สนใจสิ่งมีชีวิตที่ยังไม่เป็นตัวนั่นเลย ผมไม่มีความรู้สึกที่เรียกว่าพ่อ ผมมีแต่ความคิดว่า ถ้าณิชาไม่เอาเด็กออก เธอจะต้องดรอปเรียน คนอื่นจะมองเธอไม่ดี และเธอจะต้องลำบากมากขณะอุ้มท้อง คลอด และเลี้ยงดูเด็กคนนั้น การแต่งงานกับผมจะเป็นเรื่องขมขื่นสำหรับเธอ เพราะเราสองคนยังไม่มีเงินเลี้ยงลูก และพ่อแม่ของผมจะไม่มีวันยอมรับผู้หญิงที่มีอะไรกับผู้ชายก่อนแต่งงาน แม้ว่าผู้ชายที่เป็นคนทำให้เธอยอมทำ จะเป็นลูกชายของพวกท่านเองก็ตาม
ผมขอร้องให้เธอเอาเด็กออกเพราะผมรักเธอ เหตุผลอื่นๆ สำหรับตัวเองที่ไม่ต้องการเผชิญความยากลำบากก็มีอยู่หรอก ผมจะสารภาพโดยไม่ปิดบังว่าผมก็เห็นแก่ตัวเองเหมือนกัน แต่ผมก็เห็นแก่เธอด้วย
ผมรู้ว่าการเอาเด็กออกอาจจะอันตราย แต่ผมเห็นมามากแล้ว มากมายจริงๆ – ส่วนใหญ่ไม่เป็นไร
ทว่าณิชากลับทำสิ่งที่ผมไม่คาดคิดว่าเธอจะทำ เธอต้องการเลี้ยงลูกด้วยใจจริง และยินดีที่จะได้ทำสิ่งนั้น ผมพยายามโน้มน้าวใจเธออีกหลายครั้ง ไม่อยากให้เธอลำบาก แต่สุดท้ายมันกลับทำให้เธอพูดว่า “ใช่ค่ะมันลำบากสำหรับพี่รุษ หนูจะไม่ให้มันลำบากสำหรับพี่อีก”
ตอนแรกผมคิดว่าเธอจะทำตามที่ผมแนะ แต่หลังจากนั้นเธอกลับย้ายออกจากหอพักที่เราอยู่ด้วยกันไปไหนก็ไม่รู้ ตัดการติดต่อกับผมทุกช่องทาง ทิ้งไว้เพียงโน้ตเล็กๆ ว่าเธอรู้ว่าผมคงลำบากมากหากจะต้องก้าวไปบนทางสายเดียวกับเธอ แต่เธอจะไม่เลือกทางสายอื่นอีก และยินดีที่จะก้าวไปตามลำพังดีกว่าบังคับผมให้ไปด้วยกัน
ผมเห็นกระดาษโน้ตแล้วใจสลาย ผมโน้มน้าวให้เธอไปทางสายเดียวกับผมไม่ได้ อันที่จริงมันก็คือการฆ่าลูกน้อย มันถูกตราว่าเป็นสายทางของคนชั่ว แต่ผมกับณิชาไม่ได้คิดอย่างนั้น เช่นเดียวกับที่คู่รักหนุ่มสาวอีกมากมายไม่ได้คิด พวกเขาเพียงแต่คิดว่ามันเป็นทางเลือกหนึ่งในสองทางแห่งแพร่งทางของชีวิต ทางที่คนหลายคนตัดสินใจเลือกเพราะมันคงดีกว่ากับอนาคตของพวกเขาสองคน แต่มันเป็นทางที่ณิชาไม่เลือกเดิน
ผมไม่อาจบอกได้ว่าเธอผิด แต่ผมก็ไม่อาจโทษแม่วัยสาวคนอื่นๆ ที่ท้องและเลือกจะทำแท้งว่าผิดเช่นกัน สถานการณ์ต่างๆ ของสังคมบีบคั้นให้พวกเธอต้องทำแบบนั้น แม้มหาวิทยาลัยจะเปิดให้ใครเรียนก็ได้ตามที่ตราไว้ในกฎเกณฑ์ แต่ทางพฤตินัยแล้วมันกลับแทบไม่ให้โอกาสใครที่ท้องโตไปเรียน และในสังคมนี้มันต้องมีการศึกษาระดับปริญญาตรีจึงจะสามารถหางานที่ได้เงินพอใช้จ่ายได้ พวกเธอจึงไม่อาจละทิ้งชีวิตของตัวเองไปเพื่อชีวิตอีกชีวิตที่เอาเข้าจริงพวกเธอก็ยังไม่พร้อมจะดูแล
ถ้าพูดแบบนั้น ผมเองก็คงไม่ผิดเช่นกันที่เลือกทางนี้ให้ณิชา แต่ผมก็ยังรู้สึกผิดเรื่อยมาจนถึงวันนี้ รู้สึกว่าตัวเองได้ทิ้งผู้หญิงคนหนึ่งมาอย่างไม่มีความรับผิดชอบ ทิ้งให้ผู้หญิงที่รักต้องลำบากตามลำพัง แม้ว่าความจริงแล้วผมจะไม่ได้เป็นฝ่ายทิ้งก็ตาม ผมพยายามตามหาเธออย่างบ้าคลั่ง แต่เธอกลับไม่ปรากฏตัวในซอกมุมของตึกเรียนหรือร้านอาหารที่เราเคยไปกินด้วยกันเลย ผมรู้ว่าเธออยู่ที่นั่น และเหมือนทุกครั้ง เธอเห็นผมก่อนที่ผมจะเห็นเธอเสมอ แล้วเธอก็หลบหนีไป วันเวลาผ่านไปหลายปี ผมจบมหาวิทยาลัยและไม่ได้ข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับณิชาอีกเลย
คุณรู้ไหม ผมคิดอยู่เสมอว่าผมไม่มีวันรู้อีกแล้วว่าเธอและลูกของผมเป็นตายร้ายดีอยู่ที่ไหน แต่ผมรู้แน่ๆ ว่าผมมีลูกของผมอยู่คนหนึ่งบนโลกนี้ เพราะณิชาไม่มีทางเปลี่ยนใจ วันหนึ่งพอผมแก่ตัวลง ผมคงจะคิดสงสัยว่าลูกของผมอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ คงรู้อยู่แก่ใจว่าสายเลือดของผมคงอยู่ที่ไหนสักที่ใต้ฟ้าเดียวกันนี้ ความรู้สึกนี้และคำว่าขอโทษ มันคงติดตัวผมตลอดไป
“ผมคิดว่าผมคง...ไม่สามารถรักหรือคบกับใครได้อีกแล้ว” อรุษจบเรื่องด้วยประโยคนั้น
รดิศจำไม่ได้เสียแล้วว่าตัวเองพูดอะไรออกไป แต่อีกไม่กี่ประโยคเขาก็วางโทรศัพท์ ชายหนุ่มรู้สึกคล้ายถูกโจมตีด้วยความคิดและอารมณ์จำนวนมหาศาล
เขาไม่อาจบอกได้ว่าใครผิดในเรื่องนี้ บางทีโลกใบนี้อาจไม่ใช่ละครทีวีที่จะชี้ลงไปได้ว่าใครผิดถูก บางทีความดีชั่วอาจไม่ใช่สิ่งจำเป็นต้องตัดสิน ที่เป็นอยู่ก็มีเพียงความจริง ที่ดำเนินไปแล้วและไม่อาจแก้ไขย้อนคืน มีแต่ทางข้างหน้าที่เราจะเลือกเดินไปได้ เพื่อจะทำให้อะไรดีขึ้นหรือเลวร้ายลง
แต่น่าเสียดายที่บางที เราก็ถูกบีบ...หรือบีบตัวเอง...ให้เลือกเดินได้เพียงทางเดียว