เสียงจักจั่นในป่าสน
นวนิยายขนาดสั้นรองชนะเลิศอันดับสอง รางวัลนักเขียนรุ่นเยาว์ เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 11 ประจำปี 2557
สารบัญและบทก่อนหน้านี้
5
หลังจากรู้ความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อณิชา รดิศรนจนทำอะไรไม่ถูกไปช่วงหนึ่ง เขาบอกแล้วว่าเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านความรัก ตลอดมาตั้งแต่มัธยม เขาไม่สนใจจะมีความรักและตราหน้าว่าความรักเป็นตัวสร้างปัญหา เขาไม่เคยเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการหาแฟน หรือหมกมุ่นครุ่นคิดว่าตัวเองอาจจะชอบคนนั้นคนนี้ แต่ความจริงก็อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยหลงรักใครก็ได้ รดิศไม่รู้ว่าการหลงรักนั้นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะมากำหนดได้เองว่า เอาล่ะนะ ฉันจะหลงรักล่ะ และมันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ไม่สนแล้วจะไม่เกิดได้อีกเช่นกัน ความรักเป็นสิ่งที่ห้ามปรามไม่อยู่ เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ต่อให้เขาไม่สนใจเพียงใด มันก็เกิดขึ้นแล้วอยู่ดี
แต่การที่ไม่เคยมีประสบการณ์ใดๆ เลยเกี่ยวกับความรักจนล่วงเลยมาถึงวัยหนุ่ม เมื่อตระหนักขึ้นมาได้ว่าตัวเองกำลังชอบเด็กสาวตัวเล็กๆ บอบบางคนหนึ่ง สมองรดิศก็เลยรวนไปเหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์เจอไฟล์ประเภทที่ไม่รู้จัก ปัญหายิ่งดูหนักขึ้น เมื่อหญิงสาวที่เขาหลงรักมิใช่เพื่อนร่วมชั้นผู้น่ารักสดใสธรรมดาสักคน หากแต่เป็นณิชา ณิชาผู้มีเด็กน้อยอยู่ในท้องและมีหัวใจที่เป็นของคนอื่น
อรุษไม่ได้ติดต่อมาหลังจากขอเบอร์โทรศัพท์ไป และถึงฝ่ายนั้นจะโทรมา รดิศเองก็ไม่ทราบว่าจะเล่าอะไรเกี่ยวกับณิชาให้ฟังเพิ่มอีกได้ เขาอึกอักกับณิชาไปพักหนึ่ง พูดกับเธอน้อยลงและหลีกเลี่ยงไม่สบตา ด้วยเหตุที่ว่าเขารู้สึกตัวเองกระทำผิดอยู่สองข้อ หนึ่ง ไปพบ
อรุษมา และสอง หลงรักเธอเข้า
ความผิดปกติของรดิศมีหรือจะไม่เป็นที่สังเกตของคนอย่างณิชา “พี่โกรธอะไรหนูอยู่หรือเปล่าคะ” เธอออกปากถามเมื่อเห็นอาการเขาผิดไป
คนปกติคงไม่ถามออกมาโต้งๆ เช่นนี้ แต่เพราะณิชาเป็นคนเช่นนั้นเอง เธอเลยถาม รดิศหันมามองใบหน้ากลมขาวของสาวเจ้า แล้วตอบว่า “เปล่าหรอก ช่วงนี้พี่มีหลายเรื่องให้ต้องคิด”
“นั่นสิคะ หนูก็เห็นพี่มักทำหน้ายุ่งยากใจ” ณิชาพูดและยิ้มน้อยๆ “มีอะไรพูดให้หนูฟังได้นะคะ เราอาจไม่สนิทกันนัก แต่หนูคิดว่าเราเป็นคนประเภทเดียวกัน”
รดิศพยักหน้าเงียบๆ ใช่แล้ว เขากับเธอเข้ากันได้ดีอยู่ไม่น้อย “พี่ไม่เป็นไรหรอก” เขาบอกปัด และถามต่อไปว่า “แล้วงานนำเสนอที่อาจารย์มอบหมายมาคราวนี้จะทำเมื่อไหร่ดี”
“คงต้องใช้คอมพิวเตอร์ทำสไลด์” ณิชามองหน้าเขาและยิ้ม “ใช้โน้ตบุ๊คของหนูก็ได้ค่ะ เรามานั่งทำด้วยกันไหมคะ วันไหนก็ได้ที่พี่ว่าง”
อาทิตย์นั้นรดิศจึงกลับบ้านช้าเล็กน้อย เพื่อรอทำงานกับณิชาตอนเที่ยงวันเสาร์ เขาไปก่อนเวลา สั่งลาเต้เย็น จากนั้นนั่งเคาะนิ้วบนโต๊ะในร้านกาแฟรอคอยการปรากฏตัวของเธอ มันเป็นร้านกาแฟที่อยู่ใกล้กับหอพักของมหาวิทยาลัย จึงมีนักศึกษานั่งอ่านหนังสือบ้าง คุยเล่นกันบ้างอยู่หลายโต๊ะ รดิศมองไปรอบกาย ร้านนี้ใช้เก้าอี้สีขาวกับส้มเข้าชุดกัน ติดไฟสีส้ม แขวนภาพสามสีบ๊อบ มาเลย์กับภาพเขียนของศิลปินออสเตรียไว้รวมกันบนผนังด้านหนึ่ง อีกสามด้านเป็นกระจกใส เปิดเพลงสากลที่กำลังติดชาร์จเบาๆ บรรยากาศทั้งหมดทั้งมวลนี้ปั่นรวมกันอยู่ในแก้วเครื่องดื่มราคาแพงจนไม่น่าอยู่ในมหาวิทยาลัยได้
เท่าที่รู้ ณิชาเลือกร้านนี้เพราะเธออยู่หอพักด้านหลังนี้เอง ไม่นานนักเธอก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค เธอวางลงมันลง ขอโทษเขาที่มาช้า สั่งเครื่องดื่มร้อนแก้วหนึ่ง และเริ่มทำงาน ยกโน๊ตบุ๊คออกมาตั้งและเปิดมัน พวกเขาเริ่มต้นทำงานไปได้นิดหนึ่ง
อาจเป็นเพราะอะไรบางอย่างที่เสิร์จเจอในอินเทอร์เน็ต อยู่ๆ ณิชาก็พูดทีเล่นทีจริงออกมาว่า “พี่ดิศนี่ถ้าเอามาแต่งชุดผู้หญิงคงขึ้นนะ”
เขาชะงัก มองหน้าเธอราวกับงุนงงว่าเธอพูดอะไรออกมา “หมายความว่าไง” เขาถาม
“พี่หน้าเหมือนผู้หญิงค่ะ คือ หนูไม่ได้ว่านะ หนูกำลังชมว่าสวยดี ผู้ชายหล่อมันมีหล่อแบบผู้ชายกับหล่อแบบเหมือนผู้หญิงนะ พี่ดิศเป็นแบบหลัง” เธอพูดไปก็หัวเราะไป มองเขาทำหน้าเหวอ “พี่มีพี่สาวหรือน้องสาวไหมคะ ถ้ามีพี่สาวน้องสาวหน้าเหมือนพี่ จะเป็นสาวสวยเลยนะ”
“พี่เป็นลูกคนเดียว และไม่เคยมีคนพูดกับพี่แบบนั้นมาก่อน” เขาเอ่ยช้าๆ นึกสงสัยว่าจะดีหรือเปล่าหนอกถ้าผู้หญิงที่เขาชอบคิดว่าเขาหน้าเหมือนผู้หญิง
“พี่น่ะแต่งหญิงขึ้นนะ เคยถูกจับแต่งบ้างไหมคะ ตอนมัธยมหรืออะไรงี้” เธอถามไปพลาง ปิดปากหัวเราะไปด้วย ละมือจากงานการโดยสิ้นเชิง
เป็นผู้หญิงหรือ ไม่หรอก ไม่เคยมีใครพูดด้วยซ้ำว่าเขาหน้าเหมือนผู้หญิง ตอนมัธยมมีเพื่อนผู้ชายบางคนแต่งเป็นผู้หญิงในงานเลี้ยงจบเพื่อความสนุกสนาน แต่เขาไม่ใช่พวกร่วมก๊วนเล่นอะไรแผลงๆ แบบนั้น ตอนมหาลัยเขาก็ไม่สนใจกิจกรรมจำพวกรับน้องหรืออะไรที่อาจจะมีการเอารุ่นน้องผู้ชายไปแปลงโฉม แต่รดิศจำได้ว่าเขาเคยสัมผัสชุดกระโปรงอยู่หนหนึ่ง นานแสนนานจนเกือบจะลืมไปแล้ว เป็นเพียงความทรงจำชิ้นเล็ก ที่คงไม่มีวันหยิบขึ้นมาดูหากณิชาไม่พูดขึ้นมา
“พี่เคยถูกจับแต่งเป็นผู้หญิง...” รดิศพูด เหม่อลอยคล้ายหายไปในห้วงอดีต “ตอนเด็กๆ”
“เอ๊ะ” ณิชาอุทานอย่างประหลาดใจ แต่รดิศลอยไปไกลเกินกว่าที่จะได้ยินเสียงของเธอแล้ว
เขาจำได้ว่าตอนที่เขายังเล็ก ตอนนั้นแม่ยังอยู่ มีวันหนึ่ง แม่กลับมาจากตลาดและร้องเรียกเขาว่า “รดิศ มานี่สิลูก แม่ซื้อเสื้อผ้าใหม่มาให้”
เขาลุกจากหน้าทีวีเดินมาหา แม่นั่งอยู่บนพื้นกลางบ้าน ข้างตัวมีถุงพลาสติกสีเขียวบ้างแดงบ้าง แม่คุ้ยเอาของในถุงออกมากางให้เขาดู มันเป็นชุดกระโปรงของเด็กผู้หญิง กระโปรงชุดติดกันสีขาวจุดเหลือง ติดระบายสีเหลือง รูดซิปด้านหลัง ขนาดเท่าที่เขาจะใส่ได้พอดี อีกอย่างที่แม่ค้นออกมาคือกิ๊บติดผมรูปโบว์สีแดง ทั้งสองอย่างนี้ถ้าหากว่าอยู่บนตัวเด็กผู้หญิงเล็กๆ คนหนึ่ง คงจะน่ารักน่าเอ็นดู
“ถอดเสื้อผ้าออกสิลูก มาลองชุด” แม่บอกเขาและยิ้มอย่างอ่อนหวาน รดิศไม่แน่ใจ “ของผมเหรอฮะ” เขาถาม ความจริงอยากจะพูดว่า ชุดเด็กผู้หญิงนี่ฮะ มากกว่า แต่เขาก็ไม่กล้าพูด เพราะแม่ดูอารมณ์ดีมากต่างจากปกติทุกที รดิศกลัวว่าถ้าไปขัดใจแม่ แม่อาจจะร้องไห้โศกเศร้าอีกครั้ง
แม่พยักหน้า ยิ้มให้เขาอีก รดิศยิ้มตอบ เขาชอบรอยยิ้มของแม่เป็นที่สุด เด็กชายคิดว่าจะยอมตามใจแม่แล้วกัน เพื่อว่าแม่จะได้ยินและไม่ต้องโศกเศร้า นับเป็นความคิดที่แปลกเกินความเป็นเด็ก แต่การยอมตามแม้ต้องสูญเสียอัตลักษณ์ทางเพศของตัวเองเพื่อให้พ่อแม่มีความสุขนั่นแหละก็คือความใสซื่อที่เด็กเท่านั้นจะทำได้
เด็กชายถอดเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงขาสั้นออก ก้าวเข้าไปในชุดกระโปรงที่แม่เพิ่งซื้อมา และหันหลังให้แม่รูดซิปปิดให้ แม่มองรดิศแล้วยิ้มอย่างดีใจ ดึงเขาเข้าไปกอดเหมือนเด็กผู้หญิงกอดตุ๊กตา จากนั้นก็ติดกิ๊บสีแดงบนผมสั้นๆ ของเขา และเรียกเขาว่า “อลิส อลิส” ไม่หยุด
“อลิสลูกรักของแม่ หนูช่างน่ารักเหลือเกิน แม่คิดมานานแล้วว่าหนูต้องหน้าตาเหมือนรดิศไม่มีผิด ดีใจจริงๆ ที่ได้เห็นหนูโตขึ้นแบบนี้ ขอแม่กอดหน่อยนะ แม่อยากเจอหนูมานานแล้ว แม่รักหนูมากนะจ๊ะ อลิสของแม่”
อลิส...ชื่อนั้นรดิศคิดว่าแม่คงเรียกเขา มันคงเป็นชื่อของเขาในภาคผู้หญิง ตั้งแต่เป็นเด็กน้อยในวันนั้นจนกระทั่งถึงชายหนุ่มในวันนี้ เขาไม่เคยรู้เลยว่าวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับแม่และตัวเขา พ่อกลับมาจากที่ทำงาน และตกตะลึงที่เห็นสภาพของสองแม่ลูก พ่อคว้าเสื้อผ้าของรดิศที่กองอยู่บนพื้น บอกให้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับซะ แล้วก็ออกไปจากห้องเสีย รดิศทำตาม ได้ยินเสียงพ่อพูดอะไรกับแม่ไม่กี่ประโยค ท่าทางพ่อจะโมโหอยู่บ้าง จากนั้นแม่ก็เริ่มร้องไห้อีก
รดิศน้อยพยายามถอดชุดกระโปรงออกเอง แต่เขารูดซิปข้างหลังไม่ได้ จึงได้แต่กองเสื้อผ้าของตนไว้บนพื้น นั่งยองๆ ลงรอใครสักคนมาถอดชุดออกให้ เขาเหม่อมองประตูที่ปิด ฟังเสียงร้องไห้ที่ลอดออกมาพลางสงสัยว่าทำไมพ่อต้องโกรธด้วย ถ้าเขาแต่งตัวแบบนี้แล้วแม่ไม่ร้องไห้ มันจะมีอะไรไม่ดีตรงไหน รดิศจะยอมแต่งตัวแบบนี้ตลอด จะยอมกลายเป็นอลิส หรือจะยอมกลายเป็นเด็กผู้หญิงจริงๆ ไปเลยก็ได้ ถ้าหากมันจะทำให้แม่ไม่ร้องไห้ ถ้าหากมันจะเป็นแบบนั้น...
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจของรดิศและทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปอยากจะเป็นผู้หญิงไปตลอดชีวิตที่เหลือเลยก็ได้ ไม่ใช่เพราะเสื้อผ้าที่ถูกจับแต่งหรอก แต่เป็นเพราะความเข้าใจว่า หากเป็นผู้หญิงแล้วแม่จะไม่ร้องไห้ แต่เนื่องจากแม่ของเขาตายหลังจากนั้นไม่นานนัก เรื่องราวมากมายเกิดขึ้นทับถมกันจนทำให้เรื่องราวนี้ถูกลืมเลือนไป เด็กชายไม่ได้ใส่ใจขบคิดถึงมันหรือนำเรื่องนี้มีเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เพียงแต่โตขึ้นมาในฐานะเด็กผู้ชายธรรมดาๆ ส่วนความทรงจำชิ้นนี้ก็ตกหล่นอยู่ก้นลิ้นชัก คงไม่ถูกหยิบออกมาถ้าหากณิชาไม่พูดถึง
ณิชาเงียบไปนานหลังเห็นรดิศนิ่งไป เธอเริ่มสงสัยแล้วว่าเธอได้พูดสิ่งที่ไม่ควรพูด บางทีมันอาจเป็นบาดแผลในวัยเด็กของชายหนุ่มตรงหน้า เธอสงสัยว่าเขาคงไม่อยากพูดเรื่องนี้ แต่เธอก็สงสัยอยู่ดีเลยลองเอ่ยออกมาว่า “ตอนเด็กๆ ทำไมล่ะคะ” สาวน้อยคิดว่าถ้าหากเธอทำเป็นไม่ถามถึงไปเลย รดิศคงจะรู้ตัวว่าเธอรู้แล้วว่านี่เป็นเรื่องที่เขาไม่อยากพูด และอาจจะอับอายก็ได้ จึงทำไขสือถามต่อและคิดว่าเดี๋ยวจะเปลี่ยนเรื่องให้ไวที่สุด
รดิศสะดุ้งจากภวังค์เมื่อได้ยินณิชาพูด เขาลืมเรื่องนี้ไปนานแล้วและการเพิ่งนึกขึ้นได้ก็ทำให้เขานึกสงสัยว่า วันนั้นแม่ทำอะไรกับเขากันแน่ หรือว่าที่แม่เศร้าเสียใจมาตลอด เป็นเพราะแม่อยากจะได้ลูกสาวอย่างนั้นหรือ แต่แม่ก็ไม่เคยปฏิเสธตัวตนของเขาเลย แม่ทั้งรักและเอาใจใส่เขาดีมากในยามที่แม่ไม่ได้ร้องไห้
รดิศไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่รู้ด้วยว่าตัวเองจำทุกอย่างมาถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ อาจจะเพราะเขายังเด็ก เขาอาจจะจำอะไรผิดไปก็ได้ ชายหนุ่มปลอบตัวเองทั้งที่รู้แน่ว่าเขาไม่ได้จำผิด
มันหมายถึงอะไรกันนะ แต่ถ้าเขาจะถามพ่อก็คงไม่ได้อยู่ดี และถึงเขาจะได้รู้ตอนนี้ มันก็คงไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่าแม่ได้จากไปแล้ว
“เอ่อ ลืมมันไปเสียเถอะ” รดิศพูด ยิ้มแห้งๆ พูดกับทั้งณิชาและตัวเขาเอง
“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” ณิชาพูดแล้วก็หัวเราะ “หนูเองก็เคยใส่ชุดของลูกพี่ลูกน้องผู้ชายเหมือนกันตอนเด็กๆ” เธอพยายามผ่อนคลายบรรยากาศลง “งานเหลืออีกนิดนึงก็เสร็จแล้ว เราพักสมองกันสักสิบห้านาทีมั้ยคะ”
“ดีเหมือนกัน” รดิศตอบ กำลังนึกอยากได้เวลาสำหรับจูนตัวเองให้กลับมาจากอดีตเสียหน่อยอยู่พอดี เขาทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ เหม่อมองไปที่ภาพแขวนผนัง ณิชาหยิบหนังสือออกจากกระเป๋าขึ้นมาอ่าน รดิศมองหนังสือในมือเธอและพบว่ามันคือ การปรากฏตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก ของฮารูกิ มูราคามิ รดิศเห็นหนังสือเล่มนี้แล้ววิงเวียน
เขาจำได้ว่าณิชาเป็นแฟนตัวยงของมูราคามิ ส่วนเขานั้นไม่ได้ยินดียินร้ายกับนักเขียนคนนี้สักเท่าไหร่ เคยอ่านอยู่บ้างสองสามเล่ม ความรู้สึก : ไม่ชอบไม่ชัง เขาไม่เคยอ่านเล่มที่ณิชาหยิบขึ้นมา แต่ที่เขาต้องกุมขมับเมื่อเห็นมัน ก็เพราะมันทำให้เขานึกถึงแม่
ทุกครั้งที่เขาเห็นหนังสือเล่มนี้วางขายอยู่ตามร้าน หรือได้ยินได้อ่านอะไรเกี่ยวกับมัน เขาจะนึกถึงแม่เกือบทุกครั้ง และการนึกถึงแม่ของรดิศก็มีผลเทียมเท่ากับการเห็นณิชาตากฝนในวันนั้น มันทำให้เขารู้สึกไม่ดีเลย
ปกติเขาจะควบคุมอารมณ์ได้มากกว่านี้ แต่เพราะคำพูดของณิชาเมื่อครู่ทำให้เขาไม่ค่อยมั่นคงนัก รดิศสูดลมหายใจ พยายามตั้งสติ
“พี่ดิศเป็นอะไรรึเปล่าคะ” ณิชาถามเมื่อเห็นเขายกมือแตะหน้าผาก เธอวางหนังสือลงบนโต๊ะ มองเขาอย่างเป็นห่วง “พี่หน้าซีดเลย”
“เปล่า เปล่า” รดิศตอบ ยกกาแฟเย็นขึ้นซดโฮก หวังว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ เขาเอื้อมมือไปที่หนังสือเล่มนั้น จับมันพลิกลงให้มองไม่เห็นชื่อเรื่อง นึกสมเพชตัวเองที่ไม่ชอบมันทั้งที่ยังไม่ได้อ่านมันด้วยซ้ำ
“พี่สีหน้าไม่ดีมาหลายวันแล้วนะคะ” ณิชาปฏิเสธการบอกปัดของเขา
พี่สีหน้าไม่ดีเฉพาะเวลาอยู่กับณิ พี่ไม่รู้จะเข้าหน้าณิยังไงดี รดิศคิดแต่ไม่ได้บอกไป
“เอาอย่างนี้ดีกว่า งานนี้เดี๋ยวหนูทำเอง นิดเดียวเองเดี๋ยวก็เสร็จ พี่ไปพักเถอะค่ะ” ณิชาบอก
“ไม่ต้องหรอกณิ พี่ไม่ได้เป็นอะไร” รดิศปฏิเสธ
“เชื่อหนูเถอะค่ะ หนูทำเองก็ได้ไม่เป็นไร พี่ดิศไปพักเถอะ เดี๋ยวคืนนี้หนูส่งงานให้ดูทางเมลล์ พี่คงไม่รู้ตัวเลยสินะคะว่าช่วงนี้พี่แปลกไปมากๆ หนูไม่รู้หรอกว่าพี่ไปเจออะไรมา แต่ว่าพี่ดูหนักๆ น่ะ พี่ไปพักเถอะ”
พี่รู้ ณิ พี่รู้ พี่ดูแปลกๆ เป็นเพราะณิ รดิศไม่ได้ตอบออกไปอย่างนั้น เขาคว้าแก้วกาแฟเย็นมากำไว้แต่ไม่ได้ดื่ม ลอบถอนหายใจพลางคิดว่าคงต้องตามใจณิชา แม้จะรู้จักกันมาไม่นานนักแต่รดิศพอรู้ได้ว่าผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างดื้อ ในเมื่อเธอยืนยันมั่นเหมาะแบบนั้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนใจเธอได้
“พี่อยากช่วยณิทำงานมากกว่า” เขาเอ่ย
“งานแค่นี้เองหนูทำได้ ไปพักได้แล้วพี่ชาย” เธอตัดบทฉับ ปิดโน๊ตบุ๊คฉับ เก็บทุกอย่างลงกระเป๋า “พี่จะกลับบ้านเลยรึเปล่าคะ” เธอถาม รดิศจำได้ว่าเขาเคยบอกว่าวันเสาร์อาทิตย์เขากลับบ้านทุกสัปดาห์
“อ่า ไม่ พี่ว่าจะไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อยสักหน่อย” รดิศบอก ในเมื่อไหนๆ ก็ไม่ต้องทำงานแล้ว เขาก็อยากจะเดินให้สมองมันโล่งบ้าง เวลาที่คิดมาก เขาชอบเดินเล่นไปตามทางในมหาวิทยาลัย พอได้เดินมากๆ คิดเรื่องอื่นๆ ไปเรื่อยเปื่อย เขาจะรู้สึกดีขึ้นนิดหนึ่ง
“งั้นหนูเดินเป็นเพื่อนพี่มั้ยคะ” ณิชาถาม ซดกาแฟร้อนแล้ววางเงินลงบนโต๊ะ เขามองหน้าเธอ คิดว่าได้อยู่กับณิชาอีกสักพักก็คงจะดีไม่น้อย แม้ว่าความจริงเขาจะยังรู้สึกประดักประเดิกนิดหน่อยต่อหน้าเธอในบางที แต่การได้อยู่ใกล้ๆ ณิชาก็ทำให้เขาสบายใจและอุ่นใจขึ้น เวลาอยู่กับณิชา เขาคิดแต่เรื่องเธอ แม้บางทีมันจะเป็นการคิดกังวลถึงทั้งเรื่องเด็กในท้องของเธอและความรักของเขา แต่มันก็ดีกว่าคิดเรื่องแม่
“เอาสิ ณิอยากเดินไปไหนล่ะ” เขาถาม
“พี่รู้ไหมว่าใกล้ๆ มอเรามีทางรถไฟ” ณิชาตอบ “หนูอยากไปเดินตามทางรถไฟค่ะ หนูหาเพื่อนไปด้วยมานานแล้วเพราะว่าถ้าไปคนเดียวมันดูเปลี่ยวๆ ชอบกล”
รดิศรู้สึกวูบไปนิดหนึ่ง “พี่คิดว่าคงไม่ดีหรอก” เขาพึมพำ
“ทำไมล่ะคะ” ณิชางง
รดิศมองหน้าเธอ นั่นสินะ มีหลายคำตอบที่เขาอาจตอบได้ มันไกลเกินไป ทำไมเราไม่เดินเล่นกันในมหาลัย ทำไมเราต้องออกไปข้างนอก มันทำให้พี่คิดถึงแม่มากเกินไป เขาสะบัดหัวไล่คำตอบสุดท้ายออกไป เขาไม่อาจบอกณิชาได้เรื่องนี้
เธอชวนเขา ทั้งที่เธอน่าจะมีเพื่อนอีกมากที่สามารถชวนไปด้วยกันได้
“ทำไมณิถึงมาชวนพี่ล่ะ” เขาเสถาม “ณิคิดว่าพี่เป็นคนที่เหมาะกับทางรถไฟเหรอ”
“ค่ะ ณิเคยบอกพี่แล้วนี่คะ ว่าเราคล้ายกันหลายอย่าง เพื่อนณิคนอื่นเขาไม่สนหรอกทางรถไฟ เขาไม่เดินเล่นหรอกถ้าเขารู้สึกแย่ แต่คนที่เดินอย่างพี่ ก็เป็นคนประเภทที่สนทางรถไฟ”
รดิศยิ้มแห้งๆ ใช่ เขาเป็นคนประเภทที่จะสนคลองเล็กๆ ทุ่งหญ้า หรืออะไรเทือกนั้น แต่ทางรถไฟนับว่าเป็นบาดแผลในชีวิต ยากเกินไปที่เขาจะไปใกล้ๆ รางรถไฟ
“ถ้าเป็นสมัยก่อนณิคงชวนแฟน เขาไม่ใช่คนประเภทนี้แต่เขาตามใจณิทุกเรื่อง” ณิชาพูดพลางลูบกระเป๋าใส่คอมพิวเตอร์ เธอไม่ได้มุ่งหมายสิ่งใดเป็นพิเศษนอกจากเล่าให้เขาฟัง แต่มันกลับเป็นคำที่ผลักดันรดิศอย่างลึกซึ้ง
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อน” เขาตอบอย่างไม่คิดถึงสภาพตัวเองเลย
นวนิยายขนาดสั้นรองชนะเลิศอันดับสอง รางวัลนักเขียนรุ่นเยาว์ เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 11 ประจำปี 2557
สารบัญและบทก่อนหน้านี้
5
หลังจากรู้ความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อณิชา รดิศรนจนทำอะไรไม่ถูกไปช่วงหนึ่ง เขาบอกแล้วว่าเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านความรัก ตลอดมาตั้งแต่มัธยม เขาไม่สนใจจะมีความรักและตราหน้าว่าความรักเป็นตัวสร้างปัญหา เขาไม่เคยเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการหาแฟน หรือหมกมุ่นครุ่นคิดว่าตัวเองอาจจะชอบคนนั้นคนนี้ แต่ความจริงก็อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยหลงรักใครก็ได้ รดิศไม่รู้ว่าการหลงรักนั้นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะมากำหนดได้เองว่า เอาล่ะนะ ฉันจะหลงรักล่ะ และมันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ไม่สนแล้วจะไม่เกิดได้อีกเช่นกัน ความรักเป็นสิ่งที่ห้ามปรามไม่อยู่ เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ต่อให้เขาไม่สนใจเพียงใด มันก็เกิดขึ้นแล้วอยู่ดี
แต่การที่ไม่เคยมีประสบการณ์ใดๆ เลยเกี่ยวกับความรักจนล่วงเลยมาถึงวัยหนุ่ม เมื่อตระหนักขึ้นมาได้ว่าตัวเองกำลังชอบเด็กสาวตัวเล็กๆ บอบบางคนหนึ่ง สมองรดิศก็เลยรวนไปเหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์เจอไฟล์ประเภทที่ไม่รู้จัก ปัญหายิ่งดูหนักขึ้น เมื่อหญิงสาวที่เขาหลงรักมิใช่เพื่อนร่วมชั้นผู้น่ารักสดใสธรรมดาสักคน หากแต่เป็นณิชา ณิชาผู้มีเด็กน้อยอยู่ในท้องและมีหัวใจที่เป็นของคนอื่น
อรุษไม่ได้ติดต่อมาหลังจากขอเบอร์โทรศัพท์ไป และถึงฝ่ายนั้นจะโทรมา รดิศเองก็ไม่ทราบว่าจะเล่าอะไรเกี่ยวกับณิชาให้ฟังเพิ่มอีกได้ เขาอึกอักกับณิชาไปพักหนึ่ง พูดกับเธอน้อยลงและหลีกเลี่ยงไม่สบตา ด้วยเหตุที่ว่าเขารู้สึกตัวเองกระทำผิดอยู่สองข้อ หนึ่ง ไปพบ
อรุษมา และสอง หลงรักเธอเข้า
ความผิดปกติของรดิศมีหรือจะไม่เป็นที่สังเกตของคนอย่างณิชา “พี่โกรธอะไรหนูอยู่หรือเปล่าคะ” เธอออกปากถามเมื่อเห็นอาการเขาผิดไป
คนปกติคงไม่ถามออกมาโต้งๆ เช่นนี้ แต่เพราะณิชาเป็นคนเช่นนั้นเอง เธอเลยถาม รดิศหันมามองใบหน้ากลมขาวของสาวเจ้า แล้วตอบว่า “เปล่าหรอก ช่วงนี้พี่มีหลายเรื่องให้ต้องคิด”
“นั่นสิคะ หนูก็เห็นพี่มักทำหน้ายุ่งยากใจ” ณิชาพูดและยิ้มน้อยๆ “มีอะไรพูดให้หนูฟังได้นะคะ เราอาจไม่สนิทกันนัก แต่หนูคิดว่าเราเป็นคนประเภทเดียวกัน”
รดิศพยักหน้าเงียบๆ ใช่แล้ว เขากับเธอเข้ากันได้ดีอยู่ไม่น้อย “พี่ไม่เป็นไรหรอก” เขาบอกปัด และถามต่อไปว่า “แล้วงานนำเสนอที่อาจารย์มอบหมายมาคราวนี้จะทำเมื่อไหร่ดี”
“คงต้องใช้คอมพิวเตอร์ทำสไลด์” ณิชามองหน้าเขาและยิ้ม “ใช้โน้ตบุ๊คของหนูก็ได้ค่ะ เรามานั่งทำด้วยกันไหมคะ วันไหนก็ได้ที่พี่ว่าง”
อาทิตย์นั้นรดิศจึงกลับบ้านช้าเล็กน้อย เพื่อรอทำงานกับณิชาตอนเที่ยงวันเสาร์ เขาไปก่อนเวลา สั่งลาเต้เย็น จากนั้นนั่งเคาะนิ้วบนโต๊ะในร้านกาแฟรอคอยการปรากฏตัวของเธอ มันเป็นร้านกาแฟที่อยู่ใกล้กับหอพักของมหาวิทยาลัย จึงมีนักศึกษานั่งอ่านหนังสือบ้าง คุยเล่นกันบ้างอยู่หลายโต๊ะ รดิศมองไปรอบกาย ร้านนี้ใช้เก้าอี้สีขาวกับส้มเข้าชุดกัน ติดไฟสีส้ม แขวนภาพสามสีบ๊อบ มาเลย์กับภาพเขียนของศิลปินออสเตรียไว้รวมกันบนผนังด้านหนึ่ง อีกสามด้านเป็นกระจกใส เปิดเพลงสากลที่กำลังติดชาร์จเบาๆ บรรยากาศทั้งหมดทั้งมวลนี้ปั่นรวมกันอยู่ในแก้วเครื่องดื่มราคาแพงจนไม่น่าอยู่ในมหาวิทยาลัยได้
เท่าที่รู้ ณิชาเลือกร้านนี้เพราะเธออยู่หอพักด้านหลังนี้เอง ไม่นานนักเธอก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค เธอวางลงมันลง ขอโทษเขาที่มาช้า สั่งเครื่องดื่มร้อนแก้วหนึ่ง และเริ่มทำงาน ยกโน๊ตบุ๊คออกมาตั้งและเปิดมัน พวกเขาเริ่มต้นทำงานไปได้นิดหนึ่ง
อาจเป็นเพราะอะไรบางอย่างที่เสิร์จเจอในอินเทอร์เน็ต อยู่ๆ ณิชาก็พูดทีเล่นทีจริงออกมาว่า “พี่ดิศนี่ถ้าเอามาแต่งชุดผู้หญิงคงขึ้นนะ”
เขาชะงัก มองหน้าเธอราวกับงุนงงว่าเธอพูดอะไรออกมา “หมายความว่าไง” เขาถาม
“พี่หน้าเหมือนผู้หญิงค่ะ คือ หนูไม่ได้ว่านะ หนูกำลังชมว่าสวยดี ผู้ชายหล่อมันมีหล่อแบบผู้ชายกับหล่อแบบเหมือนผู้หญิงนะ พี่ดิศเป็นแบบหลัง” เธอพูดไปก็หัวเราะไป มองเขาทำหน้าเหวอ “พี่มีพี่สาวหรือน้องสาวไหมคะ ถ้ามีพี่สาวน้องสาวหน้าเหมือนพี่ จะเป็นสาวสวยเลยนะ”
“พี่เป็นลูกคนเดียว และไม่เคยมีคนพูดกับพี่แบบนั้นมาก่อน” เขาเอ่ยช้าๆ นึกสงสัยว่าจะดีหรือเปล่าหนอกถ้าผู้หญิงที่เขาชอบคิดว่าเขาหน้าเหมือนผู้หญิง
“พี่น่ะแต่งหญิงขึ้นนะ เคยถูกจับแต่งบ้างไหมคะ ตอนมัธยมหรืออะไรงี้” เธอถามไปพลาง ปิดปากหัวเราะไปด้วย ละมือจากงานการโดยสิ้นเชิง
เป็นผู้หญิงหรือ ไม่หรอก ไม่เคยมีใครพูดด้วยซ้ำว่าเขาหน้าเหมือนผู้หญิง ตอนมัธยมมีเพื่อนผู้ชายบางคนแต่งเป็นผู้หญิงในงานเลี้ยงจบเพื่อความสนุกสนาน แต่เขาไม่ใช่พวกร่วมก๊วนเล่นอะไรแผลงๆ แบบนั้น ตอนมหาลัยเขาก็ไม่สนใจกิจกรรมจำพวกรับน้องหรืออะไรที่อาจจะมีการเอารุ่นน้องผู้ชายไปแปลงโฉม แต่รดิศจำได้ว่าเขาเคยสัมผัสชุดกระโปรงอยู่หนหนึ่ง นานแสนนานจนเกือบจะลืมไปแล้ว เป็นเพียงความทรงจำชิ้นเล็ก ที่คงไม่มีวันหยิบขึ้นมาดูหากณิชาไม่พูดขึ้นมา
“พี่เคยถูกจับแต่งเป็นผู้หญิง...” รดิศพูด เหม่อลอยคล้ายหายไปในห้วงอดีต “ตอนเด็กๆ”
“เอ๊ะ” ณิชาอุทานอย่างประหลาดใจ แต่รดิศลอยไปไกลเกินกว่าที่จะได้ยินเสียงของเธอแล้ว
เขาจำได้ว่าตอนที่เขายังเล็ก ตอนนั้นแม่ยังอยู่ มีวันหนึ่ง แม่กลับมาจากตลาดและร้องเรียกเขาว่า “รดิศ มานี่สิลูก แม่ซื้อเสื้อผ้าใหม่มาให้”
เขาลุกจากหน้าทีวีเดินมาหา แม่นั่งอยู่บนพื้นกลางบ้าน ข้างตัวมีถุงพลาสติกสีเขียวบ้างแดงบ้าง แม่คุ้ยเอาของในถุงออกมากางให้เขาดู มันเป็นชุดกระโปรงของเด็กผู้หญิง กระโปรงชุดติดกันสีขาวจุดเหลือง ติดระบายสีเหลือง รูดซิปด้านหลัง ขนาดเท่าที่เขาจะใส่ได้พอดี อีกอย่างที่แม่ค้นออกมาคือกิ๊บติดผมรูปโบว์สีแดง ทั้งสองอย่างนี้ถ้าหากว่าอยู่บนตัวเด็กผู้หญิงเล็กๆ คนหนึ่ง คงจะน่ารักน่าเอ็นดู
“ถอดเสื้อผ้าออกสิลูก มาลองชุด” แม่บอกเขาและยิ้มอย่างอ่อนหวาน รดิศไม่แน่ใจ “ของผมเหรอฮะ” เขาถาม ความจริงอยากจะพูดว่า ชุดเด็กผู้หญิงนี่ฮะ มากกว่า แต่เขาก็ไม่กล้าพูด เพราะแม่ดูอารมณ์ดีมากต่างจากปกติทุกที รดิศกลัวว่าถ้าไปขัดใจแม่ แม่อาจจะร้องไห้โศกเศร้าอีกครั้ง
แม่พยักหน้า ยิ้มให้เขาอีก รดิศยิ้มตอบ เขาชอบรอยยิ้มของแม่เป็นที่สุด เด็กชายคิดว่าจะยอมตามใจแม่แล้วกัน เพื่อว่าแม่จะได้ยินและไม่ต้องโศกเศร้า นับเป็นความคิดที่แปลกเกินความเป็นเด็ก แต่การยอมตามแม้ต้องสูญเสียอัตลักษณ์ทางเพศของตัวเองเพื่อให้พ่อแม่มีความสุขนั่นแหละก็คือความใสซื่อที่เด็กเท่านั้นจะทำได้
เด็กชายถอดเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงขาสั้นออก ก้าวเข้าไปในชุดกระโปรงที่แม่เพิ่งซื้อมา และหันหลังให้แม่รูดซิปปิดให้ แม่มองรดิศแล้วยิ้มอย่างดีใจ ดึงเขาเข้าไปกอดเหมือนเด็กผู้หญิงกอดตุ๊กตา จากนั้นก็ติดกิ๊บสีแดงบนผมสั้นๆ ของเขา และเรียกเขาว่า “อลิส อลิส” ไม่หยุด
“อลิสลูกรักของแม่ หนูช่างน่ารักเหลือเกิน แม่คิดมานานแล้วว่าหนูต้องหน้าตาเหมือนรดิศไม่มีผิด ดีใจจริงๆ ที่ได้เห็นหนูโตขึ้นแบบนี้ ขอแม่กอดหน่อยนะ แม่อยากเจอหนูมานานแล้ว แม่รักหนูมากนะจ๊ะ อลิสของแม่”
อลิส...ชื่อนั้นรดิศคิดว่าแม่คงเรียกเขา มันคงเป็นชื่อของเขาในภาคผู้หญิง ตั้งแต่เป็นเด็กน้อยในวันนั้นจนกระทั่งถึงชายหนุ่มในวันนี้ เขาไม่เคยรู้เลยว่าวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับแม่และตัวเขา พ่อกลับมาจากที่ทำงาน และตกตะลึงที่เห็นสภาพของสองแม่ลูก พ่อคว้าเสื้อผ้าของรดิศที่กองอยู่บนพื้น บอกให้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับซะ แล้วก็ออกไปจากห้องเสีย รดิศทำตาม ได้ยินเสียงพ่อพูดอะไรกับแม่ไม่กี่ประโยค ท่าทางพ่อจะโมโหอยู่บ้าง จากนั้นแม่ก็เริ่มร้องไห้อีก
รดิศน้อยพยายามถอดชุดกระโปรงออกเอง แต่เขารูดซิปข้างหลังไม่ได้ จึงได้แต่กองเสื้อผ้าของตนไว้บนพื้น นั่งยองๆ ลงรอใครสักคนมาถอดชุดออกให้ เขาเหม่อมองประตูที่ปิด ฟังเสียงร้องไห้ที่ลอดออกมาพลางสงสัยว่าทำไมพ่อต้องโกรธด้วย ถ้าเขาแต่งตัวแบบนี้แล้วแม่ไม่ร้องไห้ มันจะมีอะไรไม่ดีตรงไหน รดิศจะยอมแต่งตัวแบบนี้ตลอด จะยอมกลายเป็นอลิส หรือจะยอมกลายเป็นเด็กผู้หญิงจริงๆ ไปเลยก็ได้ ถ้าหากมันจะทำให้แม่ไม่ร้องไห้ ถ้าหากมันจะเป็นแบบนั้น...
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจของรดิศและทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปอยากจะเป็นผู้หญิงไปตลอดชีวิตที่เหลือเลยก็ได้ ไม่ใช่เพราะเสื้อผ้าที่ถูกจับแต่งหรอก แต่เป็นเพราะความเข้าใจว่า หากเป็นผู้หญิงแล้วแม่จะไม่ร้องไห้ แต่เนื่องจากแม่ของเขาตายหลังจากนั้นไม่นานนัก เรื่องราวมากมายเกิดขึ้นทับถมกันจนทำให้เรื่องราวนี้ถูกลืมเลือนไป เด็กชายไม่ได้ใส่ใจขบคิดถึงมันหรือนำเรื่องนี้มีเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เพียงแต่โตขึ้นมาในฐานะเด็กผู้ชายธรรมดาๆ ส่วนความทรงจำชิ้นนี้ก็ตกหล่นอยู่ก้นลิ้นชัก คงไม่ถูกหยิบออกมาถ้าหากณิชาไม่พูดถึง
ณิชาเงียบไปนานหลังเห็นรดิศนิ่งไป เธอเริ่มสงสัยแล้วว่าเธอได้พูดสิ่งที่ไม่ควรพูด บางทีมันอาจเป็นบาดแผลในวัยเด็กของชายหนุ่มตรงหน้า เธอสงสัยว่าเขาคงไม่อยากพูดเรื่องนี้ แต่เธอก็สงสัยอยู่ดีเลยลองเอ่ยออกมาว่า “ตอนเด็กๆ ทำไมล่ะคะ” สาวน้อยคิดว่าถ้าหากเธอทำเป็นไม่ถามถึงไปเลย รดิศคงจะรู้ตัวว่าเธอรู้แล้วว่านี่เป็นเรื่องที่เขาไม่อยากพูด และอาจจะอับอายก็ได้ จึงทำไขสือถามต่อและคิดว่าเดี๋ยวจะเปลี่ยนเรื่องให้ไวที่สุด
รดิศสะดุ้งจากภวังค์เมื่อได้ยินณิชาพูด เขาลืมเรื่องนี้ไปนานแล้วและการเพิ่งนึกขึ้นได้ก็ทำให้เขานึกสงสัยว่า วันนั้นแม่ทำอะไรกับเขากันแน่ หรือว่าที่แม่เศร้าเสียใจมาตลอด เป็นเพราะแม่อยากจะได้ลูกสาวอย่างนั้นหรือ แต่แม่ก็ไม่เคยปฏิเสธตัวตนของเขาเลย แม่ทั้งรักและเอาใจใส่เขาดีมากในยามที่แม่ไม่ได้ร้องไห้
รดิศไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่รู้ด้วยว่าตัวเองจำทุกอย่างมาถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ อาจจะเพราะเขายังเด็ก เขาอาจจะจำอะไรผิดไปก็ได้ ชายหนุ่มปลอบตัวเองทั้งที่รู้แน่ว่าเขาไม่ได้จำผิด
มันหมายถึงอะไรกันนะ แต่ถ้าเขาจะถามพ่อก็คงไม่ได้อยู่ดี และถึงเขาจะได้รู้ตอนนี้ มันก็คงไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่าแม่ได้จากไปแล้ว
“เอ่อ ลืมมันไปเสียเถอะ” รดิศพูด ยิ้มแห้งๆ พูดกับทั้งณิชาและตัวเขาเอง
“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” ณิชาพูดแล้วก็หัวเราะ “หนูเองก็เคยใส่ชุดของลูกพี่ลูกน้องผู้ชายเหมือนกันตอนเด็กๆ” เธอพยายามผ่อนคลายบรรยากาศลง “งานเหลืออีกนิดนึงก็เสร็จแล้ว เราพักสมองกันสักสิบห้านาทีมั้ยคะ”
“ดีเหมือนกัน” รดิศตอบ กำลังนึกอยากได้เวลาสำหรับจูนตัวเองให้กลับมาจากอดีตเสียหน่อยอยู่พอดี เขาทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ เหม่อมองไปที่ภาพแขวนผนัง ณิชาหยิบหนังสือออกจากกระเป๋าขึ้นมาอ่าน รดิศมองหนังสือในมือเธอและพบว่ามันคือ การปรากฏตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก ของฮารูกิ มูราคามิ รดิศเห็นหนังสือเล่มนี้แล้ววิงเวียน
เขาจำได้ว่าณิชาเป็นแฟนตัวยงของมูราคามิ ส่วนเขานั้นไม่ได้ยินดียินร้ายกับนักเขียนคนนี้สักเท่าไหร่ เคยอ่านอยู่บ้างสองสามเล่ม ความรู้สึก : ไม่ชอบไม่ชัง เขาไม่เคยอ่านเล่มที่ณิชาหยิบขึ้นมา แต่ที่เขาต้องกุมขมับเมื่อเห็นมัน ก็เพราะมันทำให้เขานึกถึงแม่
ทุกครั้งที่เขาเห็นหนังสือเล่มนี้วางขายอยู่ตามร้าน หรือได้ยินได้อ่านอะไรเกี่ยวกับมัน เขาจะนึกถึงแม่เกือบทุกครั้ง และการนึกถึงแม่ของรดิศก็มีผลเทียมเท่ากับการเห็นณิชาตากฝนในวันนั้น มันทำให้เขารู้สึกไม่ดีเลย
ปกติเขาจะควบคุมอารมณ์ได้มากกว่านี้ แต่เพราะคำพูดของณิชาเมื่อครู่ทำให้เขาไม่ค่อยมั่นคงนัก รดิศสูดลมหายใจ พยายามตั้งสติ
“พี่ดิศเป็นอะไรรึเปล่าคะ” ณิชาถามเมื่อเห็นเขายกมือแตะหน้าผาก เธอวางหนังสือลงบนโต๊ะ มองเขาอย่างเป็นห่วง “พี่หน้าซีดเลย”
“เปล่า เปล่า” รดิศตอบ ยกกาแฟเย็นขึ้นซดโฮก หวังว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ เขาเอื้อมมือไปที่หนังสือเล่มนั้น จับมันพลิกลงให้มองไม่เห็นชื่อเรื่อง นึกสมเพชตัวเองที่ไม่ชอบมันทั้งที่ยังไม่ได้อ่านมันด้วยซ้ำ
“พี่สีหน้าไม่ดีมาหลายวันแล้วนะคะ” ณิชาปฏิเสธการบอกปัดของเขา
พี่สีหน้าไม่ดีเฉพาะเวลาอยู่กับณิ พี่ไม่รู้จะเข้าหน้าณิยังไงดี รดิศคิดแต่ไม่ได้บอกไป
“เอาอย่างนี้ดีกว่า งานนี้เดี๋ยวหนูทำเอง นิดเดียวเองเดี๋ยวก็เสร็จ พี่ไปพักเถอะค่ะ” ณิชาบอก
“ไม่ต้องหรอกณิ พี่ไม่ได้เป็นอะไร” รดิศปฏิเสธ
“เชื่อหนูเถอะค่ะ หนูทำเองก็ได้ไม่เป็นไร พี่ดิศไปพักเถอะ เดี๋ยวคืนนี้หนูส่งงานให้ดูทางเมลล์ พี่คงไม่รู้ตัวเลยสินะคะว่าช่วงนี้พี่แปลกไปมากๆ หนูไม่รู้หรอกว่าพี่ไปเจออะไรมา แต่ว่าพี่ดูหนักๆ น่ะ พี่ไปพักเถอะ”
พี่รู้ ณิ พี่รู้ พี่ดูแปลกๆ เป็นเพราะณิ รดิศไม่ได้ตอบออกไปอย่างนั้น เขาคว้าแก้วกาแฟเย็นมากำไว้แต่ไม่ได้ดื่ม ลอบถอนหายใจพลางคิดว่าคงต้องตามใจณิชา แม้จะรู้จักกันมาไม่นานนักแต่รดิศพอรู้ได้ว่าผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างดื้อ ในเมื่อเธอยืนยันมั่นเหมาะแบบนั้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนใจเธอได้
“พี่อยากช่วยณิทำงานมากกว่า” เขาเอ่ย
“งานแค่นี้เองหนูทำได้ ไปพักได้แล้วพี่ชาย” เธอตัดบทฉับ ปิดโน๊ตบุ๊คฉับ เก็บทุกอย่างลงกระเป๋า “พี่จะกลับบ้านเลยรึเปล่าคะ” เธอถาม รดิศจำได้ว่าเขาเคยบอกว่าวันเสาร์อาทิตย์เขากลับบ้านทุกสัปดาห์
“อ่า ไม่ พี่ว่าจะไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อยสักหน่อย” รดิศบอก ในเมื่อไหนๆ ก็ไม่ต้องทำงานแล้ว เขาก็อยากจะเดินให้สมองมันโล่งบ้าง เวลาที่คิดมาก เขาชอบเดินเล่นไปตามทางในมหาวิทยาลัย พอได้เดินมากๆ คิดเรื่องอื่นๆ ไปเรื่อยเปื่อย เขาจะรู้สึกดีขึ้นนิดหนึ่ง
“งั้นหนูเดินเป็นเพื่อนพี่มั้ยคะ” ณิชาถาม ซดกาแฟร้อนแล้ววางเงินลงบนโต๊ะ เขามองหน้าเธอ คิดว่าได้อยู่กับณิชาอีกสักพักก็คงจะดีไม่น้อย แม้ว่าความจริงเขาจะยังรู้สึกประดักประเดิกนิดหน่อยต่อหน้าเธอในบางที แต่การได้อยู่ใกล้ๆ ณิชาก็ทำให้เขาสบายใจและอุ่นใจขึ้น เวลาอยู่กับณิชา เขาคิดแต่เรื่องเธอ แม้บางทีมันจะเป็นการคิดกังวลถึงทั้งเรื่องเด็กในท้องของเธอและความรักของเขา แต่มันก็ดีกว่าคิดเรื่องแม่
“เอาสิ ณิอยากเดินไปไหนล่ะ” เขาถาม
“พี่รู้ไหมว่าใกล้ๆ มอเรามีทางรถไฟ” ณิชาตอบ “หนูอยากไปเดินตามทางรถไฟค่ะ หนูหาเพื่อนไปด้วยมานานแล้วเพราะว่าถ้าไปคนเดียวมันดูเปลี่ยวๆ ชอบกล”
รดิศรู้สึกวูบไปนิดหนึ่ง “พี่คิดว่าคงไม่ดีหรอก” เขาพึมพำ
“ทำไมล่ะคะ” ณิชางง
รดิศมองหน้าเธอ นั่นสินะ มีหลายคำตอบที่เขาอาจตอบได้ มันไกลเกินไป ทำไมเราไม่เดินเล่นกันในมหาลัย ทำไมเราต้องออกไปข้างนอก มันทำให้พี่คิดถึงแม่มากเกินไป เขาสะบัดหัวไล่คำตอบสุดท้ายออกไป เขาไม่อาจบอกณิชาได้เรื่องนี้
เธอชวนเขา ทั้งที่เธอน่าจะมีเพื่อนอีกมากที่สามารถชวนไปด้วยกันได้
“ทำไมณิถึงมาชวนพี่ล่ะ” เขาเสถาม “ณิคิดว่าพี่เป็นคนที่เหมาะกับทางรถไฟเหรอ”
“ค่ะ ณิเคยบอกพี่แล้วนี่คะ ว่าเราคล้ายกันหลายอย่าง เพื่อนณิคนอื่นเขาไม่สนหรอกทางรถไฟ เขาไม่เดินเล่นหรอกถ้าเขารู้สึกแย่ แต่คนที่เดินอย่างพี่ ก็เป็นคนประเภทที่สนทางรถไฟ”
รดิศยิ้มแห้งๆ ใช่ เขาเป็นคนประเภทที่จะสนคลองเล็กๆ ทุ่งหญ้า หรืออะไรเทือกนั้น แต่ทางรถไฟนับว่าเป็นบาดแผลในชีวิต ยากเกินไปที่เขาจะไปใกล้ๆ รางรถไฟ
“ถ้าเป็นสมัยก่อนณิคงชวนแฟน เขาไม่ใช่คนประเภทนี้แต่เขาตามใจณิทุกเรื่อง” ณิชาพูดพลางลูบกระเป๋าใส่คอมพิวเตอร์ เธอไม่ได้มุ่งหมายสิ่งใดเป็นพิเศษนอกจากเล่าให้เขาฟัง แต่มันกลับเป็นคำที่ผลักดันรดิศอย่างลึกซึ้ง
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อน” เขาตอบอย่างไม่คิดถึงสภาพตัวเองเลย