เสียงจักจั่นในป่าสน
นวนิยายขนาดสั้นรองชนะเลิศอันดับสอง รางวัลนักเขียนรุ่นเยาว์ เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 11 ประจำปี 2557
สารบัญและบทก่อนหน้านี้
ก่อนอื่น ขอโทษนะคะ ไหว้ก้มหัวต่ำๆ เลย
คือตั้งใจว่าจะโพสต์เรื่องนี้ให้เสร็จในเดือนสิงหาคม
แล้ววันหนึ่งก็ตื่นขึ้นมา
เดือนตุลาแล้วนะ
เฮ้ยเดือนกันยามันหายไปไหน เดือนที่มีวันเกิดเรา เดือนที่เราต้องร่าเริงฉลองวันเกิด
/น้ำตาไหล ขอโทษจริงๆ นะคะ เรามีไรอะไรทำตลอดเวลาจนเวลามันผ่านไปโดยไม่รู้ตัวจริงๆ
เหลืออีกสามบทนะ <3
6
รดิศลุกขึ้น รวบเงินค่ากาแฟของณิชาที่วางไว้บนโต๊ะไปที่เคาน์เตอร์ จ่ายเงินค่ากาแฟของตัวเอง ก่อนจะหันกลับมาเห็นเธอถือกระเป๋ารออยู่แล้ว เขายื่นมือออกไป “พี่ถือให้”
“โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เธอยิ้มอายๆ
เขามองหน้าเธอ อยากดุเรื่องท้องไส้แต่คิดว่าเธอคงไม่อยากให้ใครได้ยิน จึงเลี่ยงไปสบตาณิชาและพูดเสียงจริงจังว่า “มา พี่ถือให้น่ะ” เมื่อเธอเห็นแววตาจริงจังของเขา เธอจึงยื่นมันให้และก้มหน้าลง เอ่ยเบาว่า “ขอบคุณนะคะพี่”
สมัยก่อนแฟนเธอก็ต้องทำแบบนี้ รดิศคิดก่อนจะยิ้มให้ตัวเองก่อนจะสะดุด เขาไม่แน่ใจว่าเขาทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร เขากำลังพยายามแทนที่อรุษ แต่เพื่ออะไรล่ะ เขาต้องการอยู่ข้างๆ ณิชาจริงๆ หรือ
ใช่ เขาอยู่ข้างๆ ณิชาแล้วสบายใจ แล้วเขาอยากจะได้เธอมาเป็นคนรักงั้นรึ
ใช่ แต่...แล้วเด็กในท้องเธอล่ะ รดิศหยุดลมหายใจ เขาคิดตอนที่อรุษถาม คิดว่าจะเลี้ยงเธอกับลูกได้ แต่นั่นไม่ใช่ลูกของเขา ไม่ใช่เด็กของเขา แล้วเขาจะรับมาเลี้ยงรึ หรือหากเขาขอให้เธอเอาออก เขาก็รู้ดีว่าณิชาจะไม่มีวันทำอย่างนั้น
“พี่เป็นอะไรอีกแล้วคะ” ณิชาถาม รดิศหันกลับมา ช่วงหลังมานี้เขาเป็นอย่างนี้บ่อยเหลือเกินเวลาที่อยู่กับเธอ อดไม่ได้ที่จะเหม่อไปอยู่บ่อยๆเพราะครุ่นคิดเรื่องพวกนี้ แบบนี้เองที่ทำให้ณิชาเป็นห่วงเขา
“เปล่า พี่ขอโทษที ไปเถอะ” เขาบอกเธอ พยายามยิ้มเพื่อให้เธอสบายใจ
###
รางรถไฟอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก แต่อยู่นอกรั้ว ใกล้กันนั้นมีประตูบานหนึ่ง ยามท่าทางง่วงนอนคนหนึ่งนั่งเฝ้าอยู่ รดิศกับณิชาเข้าไปถามว่าจะขอออกไปได้หรือไม่ แต่ยามบอกว่าปกติแล้วประตูนี้ไม่เปิดให้เข้าออก “เปิดให้หนูแป๊บนึงได้ไหมคะพี่ หนูอยากเห็นรางรถไฟ นะคะพี่ ไม่ถึงยี่สิบนาทีพวกหนูก็กลับมาแล้ว” ณิชาขอร้องเขาอีกสองสามประโยคและยามก็อ่อนใจ บอกว่าจะเปิดให้ แต่อีกครึ่งชั่วโมงต้องกลับมานะ ถ้านานกว่านี้ยามจะเปลี่ยนกะ และยามอีกคนอาจจะไม่เปิดให้เข้าก็ได้ เพราะไม่รู้ว่าเป็นนักศึกษาจริงหรือเปล่า
เป็นอันว่าทั้งสองคนได้ออกไปนอกมหาวิทยาลัยจนได้ รดิศนำณิชาเดินลัดทุ่งหญ้าโล่งไปไม่ไกลนักก็เห็นรางรถไฟ ทอดมาจากที่ไหนไม่รู้แสนห่างไกล และมุ่งไปยังที่ไหนก็ไม่ทราบ ณิชาท่าทางร่าเริงขึ้นมา เธอวิ่งไปรอบๆ อย่างตื่นเต้น และบอกกับเขาว่า “หนูไม่เคยขึ้นรถไฟมาก่อนเลยนะ พี่ดิศเคยไหม”
“ไม่ บ้านพี่ไม่ชอบรถไฟ” รดิศตอบไม่ยิ้ม ขมวดคิ้วน้อยๆ พ่อไม่เคยพูดคำว่ารถไฟในบ้านด้วยซ้ำกระมัง
“ตอนแรกหนูว่าจะนั่งรถไฟไปเชียงใหม่กันกับเพื่อนตอนเอนท์ติด แต่แม่ไม่ให้ไป” ณิชาเล่า เธอเริ่มเดินเตาะแตะไปตรงกลางระหว่างรางเหล็ก เหยียบไม้หมอนท่อนแล้วท่อนเล่า รดิศยืนมองอยู่ไม่ไกลนัก วันนี้ณิชาสวมชุดกระโปรงติดกันสีขาว ปักลายดอกไม้เล็กๆ สีดำทั่วตัว รดิศนึกถึงวันที่แม่จากไป เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเนินหญ้าไม่ไกลจากราง สูดลมหายใจ และใช้สองมือกุมศีรษะ
เสียงอะไรบางอย่างดังมาจากที่ไกล ตอนแรกรดิศคิดว่ามันคือเสียงหึ่งที่เขามักจะได้ยินอยู่เสมอ เสียงแห่งความเศร้าของพ่อที่เขาได้ยินแม้จะไม่ได้อยู่เคียงข้างพ่อ หรือความจริงแล้วมันเป็นเสียงแห่งความเศร้าของเขาเอง...
ทันใดนั้นเสียงนั้นเริ่มแปลกไปจากเดิม มันไม่ใช่เสียงจักจั่นหรือเสียงฝนอย่างที่รดิศเคยได้ยินอีกต่อไป เขาเงยหน้าขึ้นและตระหนักได้ว่ามันคือเสียงรถไฟ
เขาเห็นหัวรถจักรเคลื่อนที่เข้ามาจากระยะไกล มันยังอยู่ไกลมาก แต่รดิศได้ยินเสียงของมันอย่างชัดเจน ณิชากำลังนั่งยองๆ ก้มดูไม้หมอนรถไฟ รดิศไม่รู้ว่าทำไมเธอจึงไม่ได้ยินเสียงรถไฟที่กำลังใกล้เข้ามา บางทีอาจจะเป็นหูของเขาเองก็ได้ที่ได้ยินได้มากกว่าคนปกติ เพราะแม้กระทั่งสิ่งที่ไม่มีรูปไม่มีตัว และไม่น่าจะมีเสียงอย่างเช่นความเศร้า รดิศยังสามารถได้ยินมันอยู่เสมอ
เขาไม่ได้ควบคุมตัวเองตอนที่พุ่งออกไป เขาดึงณิชาลุกยืนขึ้น อุ้มเธอขึ้นพาดบ่าโดยไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน เหมือนคนที่ตกใจตอนไฟไหม้ เขาได้ยินเสียงณิชาร้องด้วยความตกใจ แต่เขาไม่ได้สนใจ พาเธอวิ่งออกมาไกลจากรางรถไฟ และวางเธอนอนลงบนพื้นหญ้า เขานั่งลงข้างตัวเธอ ใช้สองแขนคร่อมร่างเธอไว้ จ้องหน้าเธอ หอบหายใจเร็วจนเหมือนลมหายใจที่สูดเข้าไปไม่ได้ลงไปถึงปอดเลย เขามองหน้าเธอและทบทวนกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า เธออยู่ตรงนี้แล้ว ไกลมากพอแล้ว เธอปลอดภัยแล้ว เขาได้ยินเสียงรถไฟใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เสียงณิชาเรียกเขา “พี่ดิศ พี่ดิศคะ” แต่สติของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ดวงตาของเขาเบิกโพลงจ้องตาเธอ หอบหายใจถี่รัว แต่จิตใจของเขาล่องลอยไปไกลแสนไกล
เขาเห็นภาพ – ภาพที่เขาแน่ใจว่าเขาไม่เคยเห็น ภาพหญิงสาวที่ถูกรถไฟชนกระเด็นออกไป แม่จะเดินเล่นรอเวลาอยู่ที่รางรถไฟแบบที่ณิชาทำเมื่อกี้รึเปล่านะ หรือว่าแม่แค่ผ่านมาใกล้ทางรถไฟในเวลาที่สิ้นหวังถึงขีดสุด และเห็นว่ารถไฟกำลังมุ่งหน้าเข้ามา จึงตัดสินใจในวินาทีนั้น...
เสียงรถไฟผ่านหลังไป เสียงครึกโครมและลมที่พัดฉิวผ่านแผ่นหลัง รดิศเห็นเงาของรถไฟทาบทับใบหน้าของณิชา เลื่อนไหลอย่างรวดเร็วจนในที่สุดก็ผ่านไปหมดขบวน
ไม่เคยมาก่อนเลย เขาไม่เคยเห็นรถไฟในระยะใกล้ๆ อย่างนี้มาก่อนเลย เขาหันไปมองตอนที่มันแล่นจากไป ล้อเหล็กของมันบดขยี้รางจนเกิดเสียงดังเป็นจังหวะ หัวใจของเขาเต้นเสียงดังอยู่ในหู ดังเท่ากับเสียงรถไฟที่แล่นจากไปนั้น เหงื่อแตกท่วมไปทั้งตัว เขาลุกขึ้นเปลี่ยนไปนั่งข้างๆ ณิชา งอขา และซบหน้าลงบนหัวเข่า หอบหายใจจนตัวสั่น
“พี่ดิศคะ พี่ดิศ” ณิชาเอ่ยเรียกเบาๆ มาจากข้างตัวเขา รดิศรู้สึกถึงฝ่ามือเล็กๆ ที่แจะต้นแขนเขา
“พี่ขอโทษนะ พี่ขอโทษ” เขากล่าว สั่นไปหมดทั้งตัว ปากก็สั่นจนพูดคุยแทบไม่ได้
“ขอบคุณนะคะที่พาหนูออกมาจากราง” ณิชาพูดเบาๆ มือยังวางอยู่บนแขน “พี่ตัวสั่นเลย พี่กลัวหนูโดนรถไฟชนเหรอ ไม่ต้องกลัวแล้วนะคะ รถไฟไปแล้ว หนูก็ปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องกลัวแล้วนะคะ”
รดิศมองหน้าณิชา เธอต้องรู้แล้วแน่ๆ ว่ามีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับเขา ชายหนุ่มรู้สึกว่าริมฝีปากแห้งผาก เขาคิดว่าหน้าตัวเองตอนนี้คงซีดแทบจะเป็นสีขาว เขาคิดว่าเขาต้องบอกอะไรบางอย่างกับเธอ จะปล่อยเฉยไว้อย่างนี้ไม่ได้ เธอจะมีข้อสงสัยในตัวเขา และเขาไม่อยากให้เธอกลัวเขา...
“ณิ พี่ขอโทษ พี่ขอโทษนะ” เขาหันมามองหน้าเธอ จ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมคู่นั้น ในใจที่อ่อนแอของเขาโหยหาความเข้มแข็งที่เขาสัมผัสได้จากณิชาเสมอมา รดิศทึ่งในความเข้มแข็งของณิชา ทึ่งในหัวใจของเธอ มันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยมี ณิชาดูเหมือนผู้หญิงบอบบาง แต่ภายในกลับแข็งแกร่งยิ่ง ต่างจากรดิศที่ภายในไม่มีอะไรเลย เพราะอย่างนั้นเขาถึงประทับใจในตัวเธอ
เขาเอื้อมมือออกไป จะแตะต้องตัวเธอแต่ก็ลดมือลง เพราะรู้ว่าไม่มีสิทธิทำเช่นนั้น ณิชาอ่านเขาออก เธอเอื้อมมือมากอดเขาไว้หลวมๆ และบอกว่า “พี่ไม่เป็นไรแล้วนะคะ หนูอยู่กับพี่ตรงนี้ พี่ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ พี่ช่วยหนูไว้นี่นา”
กำแพงที่รดิศใช้ปกป้องหัวใจหลอมละลายในอ้อมกอดของเธอ ในอกซ้ายของเขาเหลือแค่ภายในที่อ่อนบางปกคลุมด้วยแผลที่ไม่เคยหาย แผลที่รดิศเฝ้าหลอกตัวเองซ้ำๆ ว่าได้รักษาจนหายสนิทแล้ว แต่เมื่อเหลือบมองคราใด ก็จะพบว่าเลือดยังคงไหลซึม และในผิวหนังที่ปิดลงก็ยังมีหนองกลัดอยู่ภายในเสมอ
“แม่ของพี่...” รดิศเอ่ยกับเธอเสียงพร่าสั่น “แม่ของพี่ฆ่าตัวตายโดยการกระโดดให้รถไฟชน”
หลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ ซบลงไปบนไหล่ของณิชา เด็กสาวลูบหัวเขาเบาๆ และบอกว่า “ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้วนะ”
รดิศกำต้นแขนของณิชาแน่น ไม่ได้อยู่ในปัจจุบันอีกต่อไป แต่อยู่ในวัยเด็กของตัวเขาเอง ไกลแสนไกลจากที่นี่ ไกลแสนไกลจากวันนี้ ในตอนนั้นที่เขายังเป็นเด็กชายคนหนึ่ง เด็กชายที่ไม่เคยร้องไห้เลย และแม่ของเขาก็ร้องไห้อยู่เสมอ รดิศไม่เคยร้องไห้ให้ใครปลอบ เขากลัวว่าหากเขาร้องไห้เขาจะกลายเป็นภาระของพ่อเพิ่มอีกคน ถ้าหากรู้สึกเจ็บช้ำ เขาจึงได้แต่เก็บซ่อนน้ำตา และหากทนไม่ไหว เขาก็จะร้องไห้อยู่คนเดียว
ไม่เคยมีใครปลอบเขาเลยตลอดมา ไม่เคยมีจนกระทั่งวันนี้...
รดิศกอดณิชาแน่น วินาทีที่เหตุผลจางหายไปนั้น เขารู้สึกได้แค่ว่า ไม่อยากจะจากเธอไปอีกแล้ว เพราะเธอช่วยเขาในแบบที่ไม่เคยมีใครช่วยเขาได้เลย
###
เหตุการณ์ในวันนั้นเหมือนหนึ่งการทำลายกำแพงบางๆ ที่เคยกั้นอยู่ระหว่างเขากับเธอ รดิสสนิทสนมกับณิชามากขึ้น แม้มันจะเป็นความสนิทสนมบนความประดักประเดิกเก้อเขิน พวกเขาพบกันวันเว้นวันหรือมากกว่า ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยเท่าที่จะทำได้ ไม่มีใครพูดถึงเด็กในท้องที่กำลังจะโตขึ้นหรือแม่ที่ตายจากไปของใครอีก เรื่องราวเหล่านั้นถูกปล่อยหล่นไว้เบื้องหลังแต่ก็ยังไม่มีใครลืม พวกเขาเดินเคียงข้างกันอย่างสนิทใจมากขึ้น เหมือนต่างรู้ว่าต่างคนต่างเป็นฟันเฟืองกร่อน ที่ร้าวในแต่ในใจอดทนเข้มแข็งมามากพอที่จะเคารพนับถือ หนึ่งคนเต็มอีกคนให้เต็มอิ่ม แต่กระนั้นมิตรภาพก็ยังไม่ได้พัฒนาขึ้นเป็นความรัก
นวนิยายขนาดสั้นรองชนะเลิศอันดับสอง รางวัลนักเขียนรุ่นเยาว์ เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 11 ประจำปี 2557
สารบัญและบทก่อนหน้านี้
ก่อนอื่น ขอโทษนะคะ ไหว้ก้มหัวต่ำๆ เลย
คือตั้งใจว่าจะโพสต์เรื่องนี้ให้เสร็จในเดือนสิงหาคม
แล้ววันหนึ่งก็ตื่นขึ้นมา
เดือนตุลาแล้วนะ
เฮ้ยเดือนกันยามันหายไปไหน เดือนที่มีวันเกิดเรา เดือนที่เราต้องร่าเริงฉลองวันเกิด
/น้ำตาไหล ขอโทษจริงๆ นะคะ เรามีไรอะไรทำตลอดเวลาจนเวลามันผ่านไปโดยไม่รู้ตัวจริงๆ
เหลืออีกสามบทนะ <3
6
รดิศลุกขึ้น รวบเงินค่ากาแฟของณิชาที่วางไว้บนโต๊ะไปที่เคาน์เตอร์ จ่ายเงินค่ากาแฟของตัวเอง ก่อนจะหันกลับมาเห็นเธอถือกระเป๋ารออยู่แล้ว เขายื่นมือออกไป “พี่ถือให้”
“โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เธอยิ้มอายๆ
เขามองหน้าเธอ อยากดุเรื่องท้องไส้แต่คิดว่าเธอคงไม่อยากให้ใครได้ยิน จึงเลี่ยงไปสบตาณิชาและพูดเสียงจริงจังว่า “มา พี่ถือให้น่ะ” เมื่อเธอเห็นแววตาจริงจังของเขา เธอจึงยื่นมันให้และก้มหน้าลง เอ่ยเบาว่า “ขอบคุณนะคะพี่”
สมัยก่อนแฟนเธอก็ต้องทำแบบนี้ รดิศคิดก่อนจะยิ้มให้ตัวเองก่อนจะสะดุด เขาไม่แน่ใจว่าเขาทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร เขากำลังพยายามแทนที่อรุษ แต่เพื่ออะไรล่ะ เขาต้องการอยู่ข้างๆ ณิชาจริงๆ หรือ
ใช่ เขาอยู่ข้างๆ ณิชาแล้วสบายใจ แล้วเขาอยากจะได้เธอมาเป็นคนรักงั้นรึ
ใช่ แต่...แล้วเด็กในท้องเธอล่ะ รดิศหยุดลมหายใจ เขาคิดตอนที่อรุษถาม คิดว่าจะเลี้ยงเธอกับลูกได้ แต่นั่นไม่ใช่ลูกของเขา ไม่ใช่เด็กของเขา แล้วเขาจะรับมาเลี้ยงรึ หรือหากเขาขอให้เธอเอาออก เขาก็รู้ดีว่าณิชาจะไม่มีวันทำอย่างนั้น
“พี่เป็นอะไรอีกแล้วคะ” ณิชาถาม รดิศหันกลับมา ช่วงหลังมานี้เขาเป็นอย่างนี้บ่อยเหลือเกินเวลาที่อยู่กับเธอ อดไม่ได้ที่จะเหม่อไปอยู่บ่อยๆเพราะครุ่นคิดเรื่องพวกนี้ แบบนี้เองที่ทำให้ณิชาเป็นห่วงเขา
“เปล่า พี่ขอโทษที ไปเถอะ” เขาบอกเธอ พยายามยิ้มเพื่อให้เธอสบายใจ
###
รางรถไฟอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก แต่อยู่นอกรั้ว ใกล้กันนั้นมีประตูบานหนึ่ง ยามท่าทางง่วงนอนคนหนึ่งนั่งเฝ้าอยู่ รดิศกับณิชาเข้าไปถามว่าจะขอออกไปได้หรือไม่ แต่ยามบอกว่าปกติแล้วประตูนี้ไม่เปิดให้เข้าออก “เปิดให้หนูแป๊บนึงได้ไหมคะพี่ หนูอยากเห็นรางรถไฟ นะคะพี่ ไม่ถึงยี่สิบนาทีพวกหนูก็กลับมาแล้ว” ณิชาขอร้องเขาอีกสองสามประโยคและยามก็อ่อนใจ บอกว่าจะเปิดให้ แต่อีกครึ่งชั่วโมงต้องกลับมานะ ถ้านานกว่านี้ยามจะเปลี่ยนกะ และยามอีกคนอาจจะไม่เปิดให้เข้าก็ได้ เพราะไม่รู้ว่าเป็นนักศึกษาจริงหรือเปล่า
เป็นอันว่าทั้งสองคนได้ออกไปนอกมหาวิทยาลัยจนได้ รดิศนำณิชาเดินลัดทุ่งหญ้าโล่งไปไม่ไกลนักก็เห็นรางรถไฟ ทอดมาจากที่ไหนไม่รู้แสนห่างไกล และมุ่งไปยังที่ไหนก็ไม่ทราบ ณิชาท่าทางร่าเริงขึ้นมา เธอวิ่งไปรอบๆ อย่างตื่นเต้น และบอกกับเขาว่า “หนูไม่เคยขึ้นรถไฟมาก่อนเลยนะ พี่ดิศเคยไหม”
“ไม่ บ้านพี่ไม่ชอบรถไฟ” รดิศตอบไม่ยิ้ม ขมวดคิ้วน้อยๆ พ่อไม่เคยพูดคำว่ารถไฟในบ้านด้วยซ้ำกระมัง
“ตอนแรกหนูว่าจะนั่งรถไฟไปเชียงใหม่กันกับเพื่อนตอนเอนท์ติด แต่แม่ไม่ให้ไป” ณิชาเล่า เธอเริ่มเดินเตาะแตะไปตรงกลางระหว่างรางเหล็ก เหยียบไม้หมอนท่อนแล้วท่อนเล่า รดิศยืนมองอยู่ไม่ไกลนัก วันนี้ณิชาสวมชุดกระโปรงติดกันสีขาว ปักลายดอกไม้เล็กๆ สีดำทั่วตัว รดิศนึกถึงวันที่แม่จากไป เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเนินหญ้าไม่ไกลจากราง สูดลมหายใจ และใช้สองมือกุมศีรษะ
เสียงอะไรบางอย่างดังมาจากที่ไกล ตอนแรกรดิศคิดว่ามันคือเสียงหึ่งที่เขามักจะได้ยินอยู่เสมอ เสียงแห่งความเศร้าของพ่อที่เขาได้ยินแม้จะไม่ได้อยู่เคียงข้างพ่อ หรือความจริงแล้วมันเป็นเสียงแห่งความเศร้าของเขาเอง...
ทันใดนั้นเสียงนั้นเริ่มแปลกไปจากเดิม มันไม่ใช่เสียงจักจั่นหรือเสียงฝนอย่างที่รดิศเคยได้ยินอีกต่อไป เขาเงยหน้าขึ้นและตระหนักได้ว่ามันคือเสียงรถไฟ
เขาเห็นหัวรถจักรเคลื่อนที่เข้ามาจากระยะไกล มันยังอยู่ไกลมาก แต่รดิศได้ยินเสียงของมันอย่างชัดเจน ณิชากำลังนั่งยองๆ ก้มดูไม้หมอนรถไฟ รดิศไม่รู้ว่าทำไมเธอจึงไม่ได้ยินเสียงรถไฟที่กำลังใกล้เข้ามา บางทีอาจจะเป็นหูของเขาเองก็ได้ที่ได้ยินได้มากกว่าคนปกติ เพราะแม้กระทั่งสิ่งที่ไม่มีรูปไม่มีตัว และไม่น่าจะมีเสียงอย่างเช่นความเศร้า รดิศยังสามารถได้ยินมันอยู่เสมอ
เขาไม่ได้ควบคุมตัวเองตอนที่พุ่งออกไป เขาดึงณิชาลุกยืนขึ้น อุ้มเธอขึ้นพาดบ่าโดยไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน เหมือนคนที่ตกใจตอนไฟไหม้ เขาได้ยินเสียงณิชาร้องด้วยความตกใจ แต่เขาไม่ได้สนใจ พาเธอวิ่งออกมาไกลจากรางรถไฟ และวางเธอนอนลงบนพื้นหญ้า เขานั่งลงข้างตัวเธอ ใช้สองแขนคร่อมร่างเธอไว้ จ้องหน้าเธอ หอบหายใจเร็วจนเหมือนลมหายใจที่สูดเข้าไปไม่ได้ลงไปถึงปอดเลย เขามองหน้าเธอและทบทวนกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า เธออยู่ตรงนี้แล้ว ไกลมากพอแล้ว เธอปลอดภัยแล้ว เขาได้ยินเสียงรถไฟใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เสียงณิชาเรียกเขา “พี่ดิศ พี่ดิศคะ” แต่สติของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ดวงตาของเขาเบิกโพลงจ้องตาเธอ หอบหายใจถี่รัว แต่จิตใจของเขาล่องลอยไปไกลแสนไกล
เขาเห็นภาพ – ภาพที่เขาแน่ใจว่าเขาไม่เคยเห็น ภาพหญิงสาวที่ถูกรถไฟชนกระเด็นออกไป แม่จะเดินเล่นรอเวลาอยู่ที่รางรถไฟแบบที่ณิชาทำเมื่อกี้รึเปล่านะ หรือว่าแม่แค่ผ่านมาใกล้ทางรถไฟในเวลาที่สิ้นหวังถึงขีดสุด และเห็นว่ารถไฟกำลังมุ่งหน้าเข้ามา จึงตัดสินใจในวินาทีนั้น...
เสียงรถไฟผ่านหลังไป เสียงครึกโครมและลมที่พัดฉิวผ่านแผ่นหลัง รดิศเห็นเงาของรถไฟทาบทับใบหน้าของณิชา เลื่อนไหลอย่างรวดเร็วจนในที่สุดก็ผ่านไปหมดขบวน
ไม่เคยมาก่อนเลย เขาไม่เคยเห็นรถไฟในระยะใกล้ๆ อย่างนี้มาก่อนเลย เขาหันไปมองตอนที่มันแล่นจากไป ล้อเหล็กของมันบดขยี้รางจนเกิดเสียงดังเป็นจังหวะ หัวใจของเขาเต้นเสียงดังอยู่ในหู ดังเท่ากับเสียงรถไฟที่แล่นจากไปนั้น เหงื่อแตกท่วมไปทั้งตัว เขาลุกขึ้นเปลี่ยนไปนั่งข้างๆ ณิชา งอขา และซบหน้าลงบนหัวเข่า หอบหายใจจนตัวสั่น
“พี่ดิศคะ พี่ดิศ” ณิชาเอ่ยเรียกเบาๆ มาจากข้างตัวเขา รดิศรู้สึกถึงฝ่ามือเล็กๆ ที่แจะต้นแขนเขา
“พี่ขอโทษนะ พี่ขอโทษ” เขากล่าว สั่นไปหมดทั้งตัว ปากก็สั่นจนพูดคุยแทบไม่ได้
“ขอบคุณนะคะที่พาหนูออกมาจากราง” ณิชาพูดเบาๆ มือยังวางอยู่บนแขน “พี่ตัวสั่นเลย พี่กลัวหนูโดนรถไฟชนเหรอ ไม่ต้องกลัวแล้วนะคะ รถไฟไปแล้ว หนูก็ปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องกลัวแล้วนะคะ”
รดิศมองหน้าณิชา เธอต้องรู้แล้วแน่ๆ ว่ามีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับเขา ชายหนุ่มรู้สึกว่าริมฝีปากแห้งผาก เขาคิดว่าหน้าตัวเองตอนนี้คงซีดแทบจะเป็นสีขาว เขาคิดว่าเขาต้องบอกอะไรบางอย่างกับเธอ จะปล่อยเฉยไว้อย่างนี้ไม่ได้ เธอจะมีข้อสงสัยในตัวเขา และเขาไม่อยากให้เธอกลัวเขา...
“ณิ พี่ขอโทษ พี่ขอโทษนะ” เขาหันมามองหน้าเธอ จ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมคู่นั้น ในใจที่อ่อนแอของเขาโหยหาความเข้มแข็งที่เขาสัมผัสได้จากณิชาเสมอมา รดิศทึ่งในความเข้มแข็งของณิชา ทึ่งในหัวใจของเธอ มันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยมี ณิชาดูเหมือนผู้หญิงบอบบาง แต่ภายในกลับแข็งแกร่งยิ่ง ต่างจากรดิศที่ภายในไม่มีอะไรเลย เพราะอย่างนั้นเขาถึงประทับใจในตัวเธอ
เขาเอื้อมมือออกไป จะแตะต้องตัวเธอแต่ก็ลดมือลง เพราะรู้ว่าไม่มีสิทธิทำเช่นนั้น ณิชาอ่านเขาออก เธอเอื้อมมือมากอดเขาไว้หลวมๆ และบอกว่า “พี่ไม่เป็นไรแล้วนะคะ หนูอยู่กับพี่ตรงนี้ พี่ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ พี่ช่วยหนูไว้นี่นา”
กำแพงที่รดิศใช้ปกป้องหัวใจหลอมละลายในอ้อมกอดของเธอ ในอกซ้ายของเขาเหลือแค่ภายในที่อ่อนบางปกคลุมด้วยแผลที่ไม่เคยหาย แผลที่รดิศเฝ้าหลอกตัวเองซ้ำๆ ว่าได้รักษาจนหายสนิทแล้ว แต่เมื่อเหลือบมองคราใด ก็จะพบว่าเลือดยังคงไหลซึม และในผิวหนังที่ปิดลงก็ยังมีหนองกลัดอยู่ภายในเสมอ
“แม่ของพี่...” รดิศเอ่ยกับเธอเสียงพร่าสั่น “แม่ของพี่ฆ่าตัวตายโดยการกระโดดให้รถไฟชน”
หลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ ซบลงไปบนไหล่ของณิชา เด็กสาวลูบหัวเขาเบาๆ และบอกว่า “ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้วนะ”
รดิศกำต้นแขนของณิชาแน่น ไม่ได้อยู่ในปัจจุบันอีกต่อไป แต่อยู่ในวัยเด็กของตัวเขาเอง ไกลแสนไกลจากที่นี่ ไกลแสนไกลจากวันนี้ ในตอนนั้นที่เขายังเป็นเด็กชายคนหนึ่ง เด็กชายที่ไม่เคยร้องไห้เลย และแม่ของเขาก็ร้องไห้อยู่เสมอ รดิศไม่เคยร้องไห้ให้ใครปลอบ เขากลัวว่าหากเขาร้องไห้เขาจะกลายเป็นภาระของพ่อเพิ่มอีกคน ถ้าหากรู้สึกเจ็บช้ำ เขาจึงได้แต่เก็บซ่อนน้ำตา และหากทนไม่ไหว เขาก็จะร้องไห้อยู่คนเดียว
ไม่เคยมีใครปลอบเขาเลยตลอดมา ไม่เคยมีจนกระทั่งวันนี้...
รดิศกอดณิชาแน่น วินาทีที่เหตุผลจางหายไปนั้น เขารู้สึกได้แค่ว่า ไม่อยากจะจากเธอไปอีกแล้ว เพราะเธอช่วยเขาในแบบที่ไม่เคยมีใครช่วยเขาได้เลย
###
เหตุการณ์ในวันนั้นเหมือนหนึ่งการทำลายกำแพงบางๆ ที่เคยกั้นอยู่ระหว่างเขากับเธอ รดิสสนิทสนมกับณิชามากขึ้น แม้มันจะเป็นความสนิทสนมบนความประดักประเดิกเก้อเขิน พวกเขาพบกันวันเว้นวันหรือมากกว่า ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยเท่าที่จะทำได้ ไม่มีใครพูดถึงเด็กในท้องที่กำลังจะโตขึ้นหรือแม่ที่ตายจากไปของใครอีก เรื่องราวเหล่านั้นถูกปล่อยหล่นไว้เบื้องหลังแต่ก็ยังไม่มีใครลืม พวกเขาเดินเคียงข้างกันอย่างสนิทใจมากขึ้น เหมือนต่างรู้ว่าต่างคนต่างเป็นฟันเฟืองกร่อน ที่ร้าวในแต่ในใจอดทนเข้มแข็งมามากพอที่จะเคารพนับถือ หนึ่งคนเต็มอีกคนให้เต็มอิ่ม แต่กระนั้นมิตรภาพก็ยังไม่ได้พัฒนาขึ้นเป็นความรัก